เพื่อการนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจ

Digital transformation
การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

พัฒนาความรู้ สร้างสรรค์สื่อในรูปแบบใหม่ แล้วนำมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ที่มีคุณสมบัติด้านข้อมูล เพื่อการนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจ


ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Google ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมาเพื่อการศึกษาซึ่งจะช่วยทำให้รูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนไป :

เครื่องมือเสริมการตลาด เพื่อช่วยจัดการธุรกิจ ตามลำดับ

คุณสมบัติที่มาพร้อมการตั้งค่าเครื่องมือเสริมการตลาด เพื่อช่วยจัดการธุรกิจตามลำดับ ดังนี้

 


รายละเอียดเพิ่มเติม

 


 

 


เทคนิคจัดการกับความละเอียดของภาพดิจิตอล เพื่อลดปัญหาการตรวจสอบคุณภาพ SEO :

จัดการความละเอียดของภาพดิจิทัล วิธีนำไปใช้งานบน Website

ปัญหาใหญ่ ! ระหว่าง Programer Web Design และ Graphic Designer

ไม่รู้ว่าจะใช้ขนาดไหนดี สำหรับรูปภาพหรือวิดีโอใช่ไหม?
หัวข้อนี้ ผมได้ จัดทำรายละเอียด อัตราส่วนภาพทั่วไปเพื่อช่วยคุณสร้างโปรเจกต์ต่อไปของคุณ

 

เทคนิคจัดการกับความละเอียดของภาพดิจิตอล

ภาพสไลด์คือผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ในรูปแบบลิสต์รายการซึ่งผู้ใช้เลื่อนดูในอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ โดยจะแสดงการ์ดต่างๆ จากเว็บไซต์เดียวกัน (เรียกอีกชื่อว่าภาพสไลด์ของโฮสต์) หากต้องการให้เว็บไซต์ของคุณมีสิทธิ์แสดงผลการค้นหาที่เป็นริชมีเดียแบบภาพสไลด์ ให้เพิ่ม Structured Data ItemList ร่วมกับประเภทเนื้อหาที่รองรับแบบใดแบบหนึ่งต่อไปนี้

สำหรับภาพสไลด์

อัตราส่วนภาพทั่วไปอย่าใส่ใจความละเอียดค่า dpi ควรคิดถึงสิ่งสำคัญดังนี้

คุณภาพในการแสดงผล / เพื่อลดปัญหาการตรวจสอบคุณภาพ SEO

ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ แนะนำสำหรับประเภทเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับภาพสไลด์ มีดังนี้ 

หลักสูตร

ภาพยนตร์

สูตรอาหาร

ร้านอาหาร

 

ภาพรวมของวิธีการเพิ่มข้อมูลที่มีโครงสร้างลงในเว็บไซต์ ดูคำแนะนำทีละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีเพิ่ม Structured Data ลงในหน้าเว็บได้ใน Codelab สำหรับ Structured Data เลือกหน้าเว็บที่จะมีข้อมูลที่มีโครงสร้างของภาพสไลด์ ซึ่งมี 2 ตัวเลือกดังนี้

  • หน้าสรุปและหน้ารายละเอียดหลายหน้า: หน้าสรุปจะมีคำอธิบายสั้นๆ ของแต่ละรายการในลิสต์ และคำอธิบายแต่ละรายการจะชี้ไปยังหน้ารายละเอียดแยกต่างหาก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่รายการเดียวโดยเฉพาะ เช่น หน้าสรุป 1 หน้าที่แสดงสูตรคุกกี้ที่ดีที่สุดและคำอธิบายแต่ละรายการจะลิงก์ไปยังสูตรแบบเต็มสำหรับคุกกี้แต่ละสูตร
  • ลิสต์หน้าเดียวแบบรวมทุกรายการ: หน้าเว็บที่มีข้อมูลทั้งหมดของลิสต์ในหน้าเดียว ซึ่งรวมถึงข้อความแบบเต็มของแต่ละรายการ เช่น ลิสต์ภาพยนตร์ยอดนิยมในปี 2020 ทั้งหมด ซึ่งรวมอยู่ในหน้าเดียว

 



 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง "ทำอย่างไรเว็บไซต์ของคุณจะแสดงผลอยู่ในอันดับที่ดีของ Google Search"

ขนาดรูปภาพทั่วไปสำหรับเว็บ

หากคุณกำลังอัปโหลดภาพบนเว็บ การทำความเข้าใจข้อกำหนดเกี่ยวกับขนาดรูปภาพสารเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากขนาดรูปภาพที่ไม่ถูกต้องอาจยืดหรือบิดเบี้ยวเพื่อเติมเต็มขนาดที่ถูกกำหนด เมื่อคุณทำงานกับโปรแกรมสร้างเว็บไซต์หรือระบบการจัดการเนื้อหา (CMS) เช่น WordPress หรือ Squarespace ข้อกำหนดเกี่ยวกับขนาดรูปภาพจะแตกต่างกันไปตามธีมหรือเทมเพลตที่คุณใช้ บ่อยครั้งที่เครื่องมือสร้างเว็บไซต์จะปรับขนาดรูปภาพให้คุณเพื่อให้มันแสดงอย่างถูกต้องในรูปแบบที่แตกต่างกัน

เพื่อให้ได้ขนาดรูปภาพมาตรฐานที่แตกต่างกันหลายขนาด ให้อัปโหลดภาพที่มีขนาดใหญ่พอที่จะลดขนาดลงได้โดยไม่สูญเสียความละเอียด และเล็กพอที่จะพอดีกับความกว้างของหน้าจอมาตรฐาน Squarespace แนะนำให้อัปโหลดรูปภาพที่มีความกว้างระหว่าง 1,500 ถึง 2,500 พิกเซล ตรวจสอบเทมเพลตหรือธีมของคุณว่าคุณใช้ CMS อะไรเพื่อกำหนดขนาดรูปภาพที่จะอัปโหลด ในทำนองเดียวกัน เว็บไซต์โซเชียลมีเดียมักจะปรับขนาดภาพให้คุณ แต่มีภาพตัวอย่างที่ช่วยให้มั่นใจว่ารูปภาพของคุณจะแสดงอย่างถูกต้องในขนาดที่ต่างกัน

หมายเหตุ: อย่าสับสนขนาดรูปภาพกับขนาดไฟล์ของรูปภาพ ขนาดไฟล์ของรูปภาพจะวัดเป็นไบต์ตามเนื้อที่ที่ใช้ในดิสก์หรือไดรฟ์ (นึกถึงกิโลไบต์หรือเมกะไบต์) 

อัตราส่วนภาพที่ต่างกัน จะส่งผลแตกต่างกันกับภาพที่ถูกใช้ ภาพที่มีอัตราส่วนภาพ 1:1 เทียบกับอัตราส่วนภาพ 5:4 จะเปลี่ยนองค์ประกอบและวิธีการรับรู้รูปภาพ

ตัวอย่าง เช่น รูปภาพด้านล่างที่ถูกใช้ในรูปแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งปกติคือรูปภาพโปรไฟล์จะแตกต่างจากรูปภาพเดียวกันในอัตราส่วนภาพ 5:4 , 3:2 และกรอบล่างสุด อัตราส่วนภาพ 1:1 จะแสดงพื้นที่รอบข้างตัวแบบเพิ่มเติม ความรู้สึก ดังนั้นเราจึงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบโดยรวมเมื่อเลือกอัตราส่วนสำหรับรูปภาพมาแสดงผล

หมายเหตุ * 16:9 หรือ 9:16 เป็นอัตราส่วนสำหรับ Video เราเอามาดัดแปลงได้เช่นกัน

 

อัตราส่วนภาพ 1:1

  • อัตราส่วนภาพ 1:1 หมายความว่าความกว้างและความสูงของรูปภาพเท่ากัน ทำให้เกิดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส อัตราส่วนภาพ 1:1 ทั่วไปบางส่วนคือรูปภาพขนาด 8″x8″, รูปภาพขนาด 1080 x 1080 พิกเซล หรือโดยทั่วไปแล้วเทมเพลตรูปภาพโปรไฟล์ใด ๆ ก็ตามบนเว็บไซต์ในโซเชียลมีเดีย อัตราส่วนภาพนี้มักถูกใช้สำหรับภาพถ่ายที่พิมพ์ออกมา หน้าจอมือถือ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ไม่เหมาะสำหรับทีวีหรือรูปแบบดิจิทัลส่วนใหญ่

อัตราส่วนภาพ 3:2

  • อัตราส่วนภาพ 3:2 มีรากฐานมาจากภาพยนตร์ 35 มม. และภาพถ่าย และยังคงถูกใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับขนาดงานพิมพ์ รูปภาพที่มีขนาด 1080 x 720 พิกเซลหรือ 6 x 4 นิ้วถูกตั้งค่าไว้ในอัตราส่วนภาพนี้

อัตราส่วนภาพ 5:4

  • สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด อัตราส่วนภาพนี้พบได้บ่อยในภาพถ่ายและงานพิมพ์ศิลปะ และกล้องฟิล์มขนาดใหญ่และขนาดกลาง เมื่อพิมพ์ภาพขนาด 8″x10″ และ 16″x20″ คุณจะต้องใช้อัตราส่วนภาพ 5:4

 

ไฟล์ภาพยิ่งละเอียด ยิ่งดี คือ ความคิดผิดๆ ของสาย Web Design
สิ่งสำคัญ ขนาดรูปภาพ ควรแสดงผล 100% ของขนาดหน้าจออุปกรณ์ หรือแปลงไฟล์ เป็นหลักสำคัญ โดยมีมาตราฐานดังนี้

1920 x 1080 พิกเซล 

  • ขนาดรูปภาพมาตรฐานนี้มีให้เห็นอย่างแพร่หลายในทีวีที่มีความคมชัดสูง งานนำเสนอ และภาพถ่ายออนไลน์บนโซเชียลมีเดีย มันเป็นไปตามอัตราส่วนภาพ 16:9

1280 x 720 พิกเซล

  • ขนาดนี้เป็นไปตามรูปแบบ HD มาตรฐานในภาพถ่ายและภาพยนตร์ ซึ่งพอดีกับอัตราส่วนภาพ 16:9

1080 x 1080 พิกเซล

  • คุณจะเห็นขนาดรูปภาพในอัตราส่วนภาพ 1: 1 ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดียได้จากโพสต์บน Instagram และ Facebook

 


เทคนิคจัดการกับความละเอียดของภาพดิจิตอล

  • Resolution ความละเอียด คือ ความหนาแน่นของพิกเซล กล่าวคือ จำนวนพิกเซลใน 1 นิ้ว (dpi)

  • วิธีการคิดความละเอียด บนจอภาพ มีลักษณะ แตกต่างกันออกไป
    ในการแสดงผล บนจอ 15 นิ้ว ส่วนมากจะกำหนดความละเอียด 600 x 800 pixels หรือ 72 dpi โดยประมาณ
    ในการแสดงผล บนจอ 17 นิ้ว กำหนดความละเอียด 1024 x 768 pixels หรือ 92 dpi โดยประมาณ 

ภาพขนาด 600 x 1200 pixels เมื่อพิมพ์ ด้วยความละเอียด 150 dpi จะได้ภาพ ขนาดเท่าไหร่

  • 150 จุด  = 1 นิ้ว
  • 600 จุด = 1x 600 / 150 = 4 นิ้ว
  • 1200 จุด = 1x 1200 / 150 = 8 นิ้ว

 

กรณี จอที่ฉาย บน Projector ก็เปลี่ยนไปตามระยะ ห่างจากโปรเจคเตอร์ ถึง จอรับภาพ

  • ขนาดไฟล์ ซึ่งวัดเป็นไบต์ (กิโลไบต์, เมกะไบต์)

  • ขนาด คือ ความกว้าง x ความสูง ในหน่วยการวัด คือ พิกเซลสำหรับรูปภาพดิจิทัล | นิ้วหรือเซนติเมตรสำหรับงานพิมพ์

  • ความละเอียด ซึ่งวัดเป็นจุดต่อนิ้วสำหรับงานพิมพ์ (DPI) และ พิกเซลต่อนิ้วสำหรับภาพดิจิทัล (PPI)

  • สิ่งที่ต้องคำนึก คือ ความรวดเร็วในการแสดงผล การลด Image size การวางแผนจำนวนภาพในการแสดงผล และการ Load ภาพจากแหล่งข้อมูลเดียวกันเพื่อประหยัดแคช Memory 

  • คำนึกถึงความคมชัดในระดับการใช้งาน ต่อ ขนาดจอภาพ สัดส่วนคือสิ่งสำคัญ (ขนาดภาพ >= ขนาดจอภาพ บวก/ลบ 30 px

 

   

  • ขั้นตอนการเลือกประเภท กำหนดคุณสมบัติ

 


 

อัตราส่วนวิดีโอ

อัตราส่วนวิดีโอจะส่งผลอย่างมากต่อองค์ประกอบของมัน อัตราส่วนมาตรฐาน 16:9 ซึ่งอยู่ในแนวนอนจะแสดงต่างจากอัตราส่วน 9:16 ในแนวตั้ง ให้คำนึงถึงบริบทและองค์ประกอบทุกครั้งเมื่อเลือกอัตราส่วนวิดีโอสำหรับโปรเจกต์ของคุณ

อัตราส่วนภาพ 16:9

  • ส่วนใหญ่จะเห็นอัตราส่วนภาพ 16:9 บนสไลด์การนำเสนอ หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือทีวีจอกว้าง มาตรฐานสากลนี้เพิ่งมาแทนที่อัตราส่วนภาพ 4:3 สำหรับจอภาพและหน้าจอทีวี โดยสร้างรูปร่างสี่เหลี่ยมที่บางกว่าและยาวกว่าเมื่อเทียบกับรูปแบบ 4:3 ความละเอียดทั่วไปในอัตราส่วนภาพ 16:9 คือ 1920 x 1080 พิกเซล และ 1280 x 720 พิกเซล

อัตราส่วนภาพ 9:16 

  • อัตราส่วนแบบผกผันของอัตราส่วนภาพ 16:9 คืออัตราส่วน 9:16 ซึ่งนิยมใช้สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีความสามารถในการสร้างเรื่องราวผ่านวิดีโอ เช่น Instagram, Facebook และ Snapchat ขนาดทั่วไปที่นิยมมากที่สุดในอัตราส่วนภาพนี้คือ 1080×1920 พิกเซล ซึ่งเท่ากับขนาดหน้าจอในแนวตั้งของสมาร์ทโฟน

 


เรียนรู้  SEO เนื้อหาการทำงานของ Google Searech เพื่อการปรับแต่งภาพถ่าย วิดีโอที่มีคุณภาพและเหมาะสม


 

SEO คืออะไร ทำไมเราต้องใสใจ

  • การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา คือ กระบวนการปรับแต่งทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพดีขึ้น
  • หากคุณมีเว็บไซต์ในแพลตฟอร์มเว็บโฮสติ้งแบบอัตโนมัติ เช่น Blogger, Wix หรือ Squarespace หรือทำธุรกิจขนาดเล็กและไม่มีเวลาดูแลเว็บไซต์ ขอแนะนำให้เรียนรู้พื้นฐานในการจัดการการแสดงข้อมูลในเครื่องมือค้นหา
  • ความรู้เล็กๆ น้อยๆ นี้อาจเป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยให้ผู้คนค้นพบเว็บไซต์ของคุณ

 

 

ปรับปรุงลักษณะที่เว็บไซต์ปรากฏใน Google 

หากเข้าใจพื้นฐานของ SEO ดีอยู่แล้ว ยังมีอะไรอีกมากที่คุณสามารถทำเพื่อปรับปรุงลักษณะที่เว็บไซต์ปรากฏใน Google ดังนี้

 

ตรวจสอบประสิทธิภาพด้วย Search Console 

Search Console เป็นเครื่องมือจาก Google ที่ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ เจ้าของเว็บไซต์ และผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เข้าใจประสิทธิภาพของเว็บไซต์ใน Google Search


เพื่อประเมินความคุ้มค่าในการจ้างผลิตเครื่องจักรคุณภาพสูง กรณีศึกษาความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อขนมขบเคี้ยวประเภทต่างๆ :

กระบวนการวิจัยตลาด ด้วยเทคนิค Digital Marketing

กระบวนการวิจัยตลาด เพื่อศึกษาความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อขนมขบเคี้ยวและอาหารประเภทต่างๆ 

ระบบสาธิต การระบุตัวผลิตภัณฑ์ (เปิดเอกสารสถิติ ประจำปี 2560-2566)

 

วัตถุประสงค์

  • เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดหน่ายสินค้า ประเภทเครื่องจักรสนับสนุนการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเคี้ยว

  • เพื่อตอบโจทย์ทางการตลาดและแนวทางในการทำโฆษณา วัตถุประสงค์ต่างๆ อย่างสมบูรณ์

  • ตัวอย่างแนวทางในการวิจัย 

 

แนวทาง

  1. ศึกษาตลาดและความต้องการของผู้บริโภค
  2. เลือกประเภทของอาหารหรือขนมขบเคี้ยวที่จะผลิต
  3. ออกแบบสูตรอาหารหรือขนมขบเคี้ยว
  4. พัฒนากระบวนการผลิต
  5. หาสถานที่ผลิต
  6. หาแหล่งวัตถุดิบ
  7. หาเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต
  8. หาแรงงาน
  9. หาบรรจุภัณฑ์
  10. หาช่องทางการจัดจำหน่าย
  11. ทำการตลาดและโฆษณา
  12. ขายสินค้าและบริการ

เพิ่มเติมแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ

 

กรณีศึกษาตลาด

ตลาดอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 200,000 ล้านบาทต่อปี ตลาดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ตลาดขนมขบเคี้ยวแบบทอด / แบบอบ

  • ตลาดขนมขบเคี้ยวแบบทอดมีมูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านบาทต่อปี

  • ตลาดขนมขบเคี้ยวแบบอบมีมูลค่าสูงถึง 50,000 ล้านบาทต่อปี

 

กลุ่มเป้าหมายของตลาดอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ประกอบด้วย

  • เด็กและเยาวชน
  • วัยรุ่น
  • วัยทำงาน
  • ผู้สูงอายุ

ความสนใจของผู้บริโภคในตลาดอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ประกอบด้วย

  • รสชาติ
  • ราคา
  • ความสะดวกในการรับประทาน
  • คุณค่าทางโภชนาการ

ความเป็นไปได้ในการจัดหน่ายสินค้าในอุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ค่อนข้างสูง เนื่องจากตลาดมีขนาดใหญ่และมีความต้องการที่สูง ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ประกอบด้วย

  • ร้านสะดวกซื้อ
  • ห้างสรรพสินค้า
  • ซูเปอร์มาร์เก็ต
  • ตลาดสด
  • ร้านค้าออนไลน์

 


ประเภทของอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ประกอบด้วย

  • ขนมขบเคี้ยวแบบทอด
  • ขนมขบเคี้ยวแบบอบ
  • ขนมขบเคี้ยวแบบนึ่ง
  • ขนมขบเคี้ยวแบบแช่แข็ง
  • ขนมขบเคี้ยวแบบผง
  • ขนมขบเคี้ยวแบบน้ำ

 


เครื่องจักรสนับสนุนการผลิต

เครื่องจักรสนับสนุนการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ประกอบด้วย

  • เครื่องผสมอาหาร
  • เครื่องนวดอาหาร
  • เครื่องปั่นอาหาร
  • เครื่องอบอาหาร
  • เครื่องทอดอาหาร
  • เครื่องบรรจุอาหาร
  • เครื่องแพ็คอาหาร
  • เครื่องทำน้ำแข็ง
  • เครื่องทำกาแฟ
  • เครื่องทำชา

 

ตัวอย่างธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ประกอบด้วย

  • เลย์
  • เฟรชฟรายส์
  • โดริโต้
  • เป๊ปซี่
  • โค้ก
  • สตาร์บัคส์
  • ดอยตุง
  • เนสกาแฟ
  • โออิชิ
  • ทามาโกะยากิ

 

สรุป

อุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยมีศักยภาพสูงและมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องผู้ประกอบการที่สนใจจะเริ่มต้นธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยควรศึกษาตลาดและความต้องการของผู้บริโภคอย่างละเอียด พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ หาช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสม และดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล

ระบบรายงานข้อมูลเชิงลึก ความสนใจต่อผลิตภัณฑ์ (เฉพาะสมาชิก ติดต่อขอร่วมการวิจัย)

 

 


มาทำความรู้จัก บริษัท อาร์ชิมัสค์ จำกัด  ARCHIMUSK CO.,LTD

ผู้ให้บริการและสนับสนุนกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมทุกแขนง สนับสนุนการผลิตของกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมทุกแขนง เช่น

  • อุตสาหกรรมยานยนต์
  • อุตสาหกรรมแม่พิมพ์
  • อุตสาหกรรมเครื่องจักร
  • อุตสาหกรรมกลุ่ม ยา อาหาร เคมีภัณฑ์และอื่นๆ
  • วัสดุ อุปกรณ์ ชิ้นส่วน เครื่องจักรกำลังการผลิตขนาดเล็กเหมาะกับ วิสาหกิจในชุมชน
  • ผลิตงานตามคำสั่งซ์้อ คำสั่งจ้าง หน่วยงานภาครัฐและเอกชนต้องการ ตามหลักวิศวกรรมหรือตามแบบ (Drawing)
  • ด้วยความชำนาญในด้านการออกแบบ 3 มิติ ที่ผ่านประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ จึงยึดมั่นในเรื่องการกระจายความรู้และโอกาสสู่ชุมชน

About us  /  บริษัท อาร์ชิมัสค์ จำกัด ARCHIMUSK CO.,LTD.

 

โดยมีวิธีดำเนินงานและกรอบวิจัย : ด้วยการรวบรวมข้อมูลความสนใจจากการกระจายเนื้อหา และทำโฆษณาผ่าน Social Media พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูล "ปริมาณความสนใจ" ที่เกิดจากเหตุการณ์พฤติกรรมผู้ใช้งาน Market plance จาก BigData พันธมิตรที่ผู้ที่ร่วมวิจัยเพื่อให้ทราบถึงความหน้าจะเป็นในการลงทุน ผลิตเครื่องจักร ในสินค้าประเภท ขนมขบเคี้ยวในแต่ละประเภท ในประเทศไทยเครื่องจักรสนับสนุนการผลิต

 

เอกสารโครงการและกรอบงานวิจัย เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ความสนใจต่อผลิตภัณฑ์ (เฉพาะสมาชิก ติดต่อขอร่วมการวิจัย)

 

ดังนั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ตอบโขทย์ ความคุ้มค่า ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเงิน และสังคม ผลักดันให้ชุมชนได้นำนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะมาช่วยในการผลิตเพื่อสร้างรายได้พร้อมการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นจากผู้สูงอายุ ดังนั้น บริษัทบ้านรักคอม มีเดีย โปรดักชั่น จำกัด จึงได้ดำเนินการวางแผนเพื่อศึกษาตลาดจากข้อมูลประชากร สรุปเป็น กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยในครั้งนี้ [1] เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลทางสถิติยืนยันความคุ้มค่าในการลงทุน และรายงานผลต่อ ผู้ให้บริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และร่วมถึงประชาชนที่มีความสนใจกระบวนการผลิตในครั้งนี้

 

แนวทางในการวิจัยครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการผลิตของกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมทุกแขนง ที่จะช่วยให้ SME หรือผู้ประกอบการสามารถต่อยอดธุรกิจการแปรรูปอาหาร บรรจุภัณฑ์ และอื่นๆ ตามความเหมาะสม  มีกระบวนการและกรอบแนวคิดพอสังเขปดังนี้

หัวข้อแนวคิดการวิจัยพอสังเขปดังนี้

  1. เริ่มต้นด้วยแนวคิดของผลิตภัณฑ์อาหารหรือขนมขบเคี้ยว
  2. ศึกษาตลาดและความต้องการของผู้บริโภค
  3. พัฒนาสูตรอาหารหรือขนมขบเคี้ยว
  4. พัฒนากระบวนการผลิต
  5. หาสถานที่ผลิต
  6. หาแหล่งวัตถุดิบ
  7. หาเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต
  8. หาแรงงาน
  9. หาบรรจุภัณฑ์
  10. หาช่องทางการจัดจำหน่าย
  11. ทำการตลาดและโฆษณา
  12. ขายสินค้าและบริการ

 

เอกสารที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนำเสนอผลวิจัย (สามารถ Download ได้ตามผลการดำเนินกิจกรรม)

Project Model  / FlowChat  /  DataFlow Diagram  /  Data Dic / DataSet / .CSV

 


 

ตัวอย่างช่องทางการ

ขับเคลื่อนเทคโนโลยีแปรรูปอาหารแห่งอนาคต ทั้งผลิต-บรรจุภัณฑ์ ปิ๊งไอเดีย สร้างยอดขายทั้งในและต่างประเทศ

เราดำเนินการภายใต้แนวคิด “Food Industry Transformation” “ พลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหาร” มุ่งเน้นกระแสนิยมที่กำลังเกิดขึ้นตลอดจนทิศทางแนวโน้มที่น่าจะเกิดต่อไปในอุตสาหกรรม อาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และอุตสาหกรรมอื่น ทุกปีงานแสดงสินค้าและอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นศูนย์กลางสำหรับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้า ผู้ซื้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ตลอดจนประชาชนผู้สนใจทั่วไปได้มาพบปะ แลกเปลี่ยน และทำธุรกิจการค้า

HIGHLIGHT

 

 

เครื่องมือช่วยเหลือนักเขียนการตลาดเนื้อหา

เว็บไซต์ช่วยขยายตลาด กำหนดเส้นทางขายอย่างไร?

 

ผสมผสานขุมพลัง Bard AI อัจฉริยะ กับการตลาดเนื้อหา ขายได้อย่างไร?


การบูรณาการ องค์ความรู้ เพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลงแบบฉับพลัน :

Digital transformation การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

Digital transformation การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

เพื่อรับมือและทันต่อการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันด้วยดิจิทัล Digital Disruption

 

        Digital Disruption คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่นำมาใช่ในการดำเนินชีวิต หรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป เพื่อความอยู่รอดจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจ และคนที่ใช้เทคโนโลยีจึงเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ... ทำให้ธุรกิจบางประเภทที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงล่มสลายหรือปิดตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ธุรกิจร้านอาหารที่ไม่ปรับเปลี่ยนมาทำออนไลน์, ร้านเสริมความงามที่ต้องเปลี่ยนจากงานบริการเป็นผู้ให้ความรู้ผ่าน Social Media จนกลายเป็นที่นิยมและมีชื่อเสียง, ธุรกิจด้านการผลิตสื่อโฆษณา ช่องรายการบน YouTube ที่สร้างรายได้หลายล้านบาท ถือเป็นการสร้างโอกาสทางดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน

        แต่อีกในมิติกับทำให้เกิดการแทนที่ของธุรกิจใหม่ๆ จากบุคคลที่มีไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่าง สร้างนวัตกรรมที่น่าสนใจและก่อเกิดประโยชน์มากมาย เช่น ระบบซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ , ระบบขนส่ง , ระบบที่เน้นการบริการผ่านออนไลน์สร้างรายได้จนกลายเป็นธุรกิจ Startup รูปแบบใหม่ บนโมเดลธุรกิจที่ฉีกตำราในอดีตผ่านโลกออนไลน์อย่างชัดเจนเช่นกัน ดังนั้นเราจึงขอนำเสนอ "กลไกการเปลี่ยนแปลงการทำงานในชีวิตประจำวันของ พนักงานออฟฟิต คุณครูผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างซ่อมรถยนต์ และทุกอาชีพที่สร้างประโยชน์ เราจะให้คำแนะนำและพาคุณทำไปทีละขั้นตอน ทุกขั้นตอนคือการสร้างมูลค่าให้กับความรู้ของคุณ และมันจะเปลี่ยนเป็นรายได้ที่มากขึ้น ตามความสามารถและการนำไปใช้ประโยชน์ "คุณค่าของงาน จะย้อนกลับมาเป็นผลของเงิน" ... และที่สุดของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในรูปแบบต่อไปนี้ คือ การทำให้ผลิตภัณฑ์ที่คุณสร้างกลายเป็น Automation ในการจัดจำหน่าย อย่างสมบูรณ์แบบลองมาดูกลไกการสร้างรายได้จากธุรกิจประเภท "Expert Business การประยุกต์ความรู้เป็นธุรกิจดิจิทัล" กันครับ 

 

กลไกการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในชีวิตประจำวัน

ผลดีจากการเปลี่ยน คือ เพื่อปัญหาจากการทำงาน เช่น (ความคิดด้านลบจากการทำงานหนัก ไม่ทุ่มเทให้การทำงาน Quite Quitting) , (ปรากฏการณ์นอนราบ , Lying Flat หรือ Tang Ping) 

เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ เพื่อเสริมศักยภาพให้ตัวเองและองค์กร และเพื่อสร้างรายได้เสริมบนแฟลตฟอร์มออนไลน์ โดยมีขั้นตอนดังนี้

 

1. ค้นหาความชอบ ความสนใจ ความถนัดของตัวเอง หรือมองหาปัญหาที่คุณกำลังประสบ

แนะนำวิธีการปฏิบัติ

ด้วยประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาและศึกษาสภาพปัญหาเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบ เรามีความชำนาญในการวิเคราะห์เพื่อช่วยเหลือให้คำแนะนำ เพื่อทางออกและช่วยให้ความสามารถของคุณเปลี่ยนเป็นรายได้ ด้วยการร่วมสนทนาเพื่อวางแผน กำหนดกรอบการพัฒนา การเปลี่ยนความรู้ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่สามารถนำมาขัดจำหน่าย พร้อมการกำหนดกลยุทธการตลาด และแผนการประชาสัมพันธ์ การสร้างกระแสความนิยม และช่องทางขายในปัจจุบัน ซึ่งคุณสามารถเลือกและกำหนดต้นทุนในการเรียนรู้ สร้างสื่อดังกล่าว ไปพร้อมกับการมีรายได้เสริมที่มากขึ้น

  

 

2. จัดทำ Diagram / Demo Presentation / Model Product / เรียนรู้และเข้าใจเครื่องมือในการผลิต / เครื่องมือสำหรับออกแบบและพัฒนาสื่อ / เครื่องมือและงบประมาณในการจัดทำโฆษณา

 

3. เรียนรู้และเข้าใจการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าและฟังเสียงลูกค้าให้ถูกกลุ่ม

 

  

 


 

4. ขยายตลาดด้วยการปรบปรุงผลิตภัณฑ์ด้วยเทคนิคด้านดิจิทัลอีกระดับ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์และเป็นการส่งเสริมการขาย โปรโมทผลิตภัณฑ์ในเวอร์ชั่นที่ดีและคุ้มค่ามากกว่าในเวอร์ชั่นก่อนหน้า

 

5. เสริมศักยภาพ สร้างสรรค์แบรนด์ โปรโมทผลิตภัณฑ์ ด้วยข้อมูลเชิงลึก เพื่อกำหนดตัวชี้วัดจากโฆษณา

 

6. สร้างเครื่อข่ายการขาย สร้างตัวแทนจำหน่าย และกำหนดการส่งเสริมการขาย บนผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ด้วยเครื่องมือมาตราฐานระดับโลก

 

7. ออกแบบและพัฒนาช่องทางจัดจำหน่าย ให้เป็น Automation / Booking / Pre Order 

 

8. ทำความรู้จักและเรียนรู้การนำเทคโนโลยีสำหรับการทำงาน สร้างตัวตนทางออนไลน์ สิ่งที่ธุรกิจบริการจำเป็นต้องใช้งานในอนาคต

 


พร้อมการศึกษาออกแบบ เพื่อพัฒนาเว็บฯ ที่เน้นการนำคุณสมบัติด้านข้อมูลมาใช้ประโยชน์ด้านการตัดสินใจก่อนลงทุน :

สร้างสรรค์สื่อนำเสนอผลงานได้ตามเป้าประสงค์ ด้วยการศึกษา วิเคราะห์ความต้องการและสภาพปัญหา

สร้างสรรค์สื่อนำเสนอผลงานได้ตามเป้าประสงค์ ด้วยการศึกษา วิเคราะห์ความต้องการและสภาพปัญหา

สร้างเว็บไซต์ สวยๆ ง่ายและฟรี

 

1. เปลี่ยนความรู้ของคุณให้คนได้รู้จักสร้าง Banner ป้ายโฆษณาและโปรโมทผ่านช่องทางมากมาย

 

2. สร้างใบปลิวในรูปแบบดิจิตอล เปลี่ยนกระดาษให้กลายเป็นสื่อโฆษณาแล้วนำมารวบรวมกลายเป็น Video Present

 

3. นำสื่อที่พัฒนาออกมาในรูปแบบดิจิทัลมาสะสมและเผยแพร่บนสื่อกลางที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด คือ เว็บไซต์

และเปลี่ยนเว็บไซต์ธรรมดาให้กลายเป็น เว็บขายสินค้า ซึ่งเรามีบริการเป็นพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว 

 

4. เราจัดอบรมให้ลูกค้าและมีโครงการอบรมแบบสาธารณะตั้งแต่เริ่มต้น เกี่ยวกับประโยชน์ของระบบที่เน้นการตลาด

การนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ต่อยอดเส้นทางผลิตภัณฑ์ บริการ ด้วยการสร้างองค์ประกอบต่างๆ นำผลมาวิเคราะห์ใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ จนเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน

 


เรื่องราวจากประสบการณ์จริงนำมาประยุกต์เป็นกลไกในการพัฒนาทักษะ :

ทำไมเราต้องเปลี่ยนแปลง วิธีการขั้นตอนแบบไหนเหมาะกับคุณ

กระบวนการคิด การวางแผน การกำหนดเป้าหมาย กลไกการทำงาน การลงมือทำ มีแนวทางและปัจจัยดังนี้

1. การกำหนดเป้าหมาย หรือ การสร้างความฝัน ความหวัง

2. ความรู้ ความสามารถ ความถนัด ที่สามารถประยุกต์และสร้างรายได้อย่างชัดเจน

3. ช่องทาง กลุ่มเป้าลูกค้า ข้อมูลสถิติ ข้อเท็จจริง อ้างอิง

4. แนวทาง คู่มือ วิธีปฏิบัติ (ประสบการณ์คือทางลัด)

5. เทคโนโลยี ความรวดเร็ว ความแม่นยำ ควบคุมการจัดการได้ทุกที่ ทุกเวลา ใช้งานง่าย ผู้ใช้งานสามารถกำหนดต้นทุนในการพัฒนาได้

6. องค์ความรู้ที่มีเนื้อหาตรงความต้องการ สอดคล้องในการทำงาน ชีวิตประจำวัน

7. การเรียนรู้ที่คุณเลือกได้ กระบวนการสอนอย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์ แก้ไขปัญหาในองค์กรหรือตัวบุคลากรได้

 

 

เรื่องราวการเปลี่ยนแปลงจากประสบการณ์จริง
นำมาประยุกต์เป็นกลไกในการพัฒนาทักษะ
เริ่มที่นี้ Google และ Gmail

 

 

         ซอฟต์แวร์ เว็บไซต์ เว็บแอปพลิเคชัน และสื่อมัลติมีเดีย เป็นเครื่องมือสนับสนุนด้านงานประชาสัมพันธ์ สนับสนุนการทำงาน และโครงการอบรมที่เน้นความรู้ทางด้านเทคโนโลยี เพื่อตรงตามความต้องการของลูกค้า เราเน้นการพัฒนาทักษะการติดต่อสื่อสาร จัดการข้อมูล เพื่อการตัดสินใจจนก่อให้เกิดกระบวนการทำงาน วิธีคิดที่มุ่งเน้นการตลาดเพื่อสร้างรายได้และปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรให้ชัดเจนและเป็นแนวทางเดียวกัน เมื่อมีนวัตกรรมช่วยสนับสนุนการตลาด พร้อมการส่งเสริมบุคคลากรให้ศึกษา เรียนรู้เพื่อใช้นวัตกรรมดังกล่าว ด้วยวัฒนธรรมองค์กรเน้นที่การสร้างรายได้มีผลตอบแทนอย่างชัดเจน สามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำ สะดวกสบายผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งสามารถกำหนดต้นทุนได้ตามศักยภาพขององค์กรหรือตัวบุคคลนั้นๆ ดังนั้นสิ่งที่เป็นทุนและรายได้ของบริษัทมาจาก ความรู้ความสามารถที่นำมาประยุกต์ เพื่อช่วยในการวางแผน แก้ไขปัญหา สนับสนุนองค์กร ธุรกิจและคนที่ต้องการพัฒนาตนเอง ด้วยการกำหนดขั้นตอน กระบวนการที่ถูกต้องอย่างชัดเจน ผสมกับความรู้ความสามารถและทักษะของลูกค้า ส่งผลให้การนำมาประยุกต์ใช้ประสบการณ์ชีวิตเปลี่ยนมาเป็นมูลค่า นี้คือที่สิ่งสำคัญ (ลองคิดดูครับถ้าเด็กที่มีพรสวรรค์จัดกระบวนการอย่างถูกวิธีตั้งแต่ อายุ 10 ปี และเริ่มสร้างรายได้ภายใน 2 ปี จะมีรายได้และประสบการณ์มากเพียงใด) กระบวนการคิดอย่างถูกวิธีและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ และการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์เพื่อช่วยในการจัดการด้านข้อมูล ช่วยในการทำงาน สนับสนุนการนำเสนอและการติดต่อสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการได้เปรียบในยุคปัจจุบัน

        ด้วยประสบการณ์การพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับองค์กร บุคคลและธุรกิจ มาใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งได้สรุปออกมาเป็นขั้นตอนและกลไกในการนำไปใช้ประกอบธุรกิจ การทำงาน และเรียนรู้ เพื่อความรวดเร็ว แม่นยำและเงินรายได้ ยิ่งสินค้าที่คุณมีคือความรู้ ความสามารถ มันคือต้นทุนที่ต่ำที่สุด แต่มูลค่าของมันสูงมากๆ จนแทบไม่มีเพดาน ถ้าคุณขายมันได้ตรงกลุ่ม (กลุ่มคือ ลูกค้าที่มีความต้องการและนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ)      


ขั้นตอนที่สำคัญในการออกแบบและพัฒนา Website ที่สำคัญ :

เริ่มต้นศึกษาวิธีที่ดีที่สุดในการใช้งานเครื่องมือและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับ Website

เริ่มต้นศึกษาวิธีที่ดีที่สุดในการใช้งานเครื่องมือส่วนองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับ Website

เรารวบรวม ศึกษาหาวิธีที่ดีที่สุดในการนำเสนอ วิธีใช้งาน ขั้นตอนที่สำคัญในการออกแบบและพัฒนา ที่สำคัญ "ทางลัด" ในการพัฒนานวัตกรรมด้านเว็บไซต์ ที่นำมาบูรณาการ สนับสนุนองค์กร และตัวบุคคลให้เกิดความรู้ มีความเข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น ขายสินค้า นำเสนอโฆษณา สร้างและเพิ่มมูลค่าให้บริการของตัวเองและผู้อื่น และเป็นรายได้อย่างยั่งยืน 

เครื่องมือที่เกี่ยวข้องและกระบวนการออกแบบพัฒนาเพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่า

- Multimedia + Studio + Live Straming + อื่น

- Website เป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นในการขยายและเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร ก่อนที่เราจะออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ เราได้มีการรวบรวมสภาพปัญหาและวิเคราะห์ออกมาเป็นลำดับงานที่จะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพให้ตรงตามความต้องการและเหมาะสมต่อบุคลากรในองค์กรนั้นๆ 

- Web Application เป็นการพัฒนาเสริม ตามความต้องการของผู้ประกอบการ เช่น ระบบ Booking, ระบบจัดการข้อมูล, ระบบออกรายงานในรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ, ระบบจัดการสมาชิก, ใบเสนอราคา และอื่นๆ

- SEO + Google Analytic เราศึกษาและพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามสภาพแวดล้อมและปรับปรุงตามความเหมาะสมในการใช้งาน เพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงประเด็น เช่น ผู้ประกอบการต้องการทราบความนิยมของผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าที่สนใจอยู่ในภูมิภาคใด เพื่อตอบโจทย์การลงทุน

- Google ADS เป็นเครื่องมือที่ง่ายต่อการขยายตลาดการโปรโมทที่เกิดความพึงพอใจสูงสุดในการเข้าถึงลูกค้าที่มีความสนใจและความต้องการ

- Google Cloud เป็นการจัดการข้อมูลที่คุ้มค่าไม่มีการลงทุนเรื่องฮาร์ดแวร์ ไม่เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล ไม่มีเสี่ยงต่อภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ รับรองการ Online และผสมผสานกับเครื่องมืออื่นๆ

- Google BigData นวัตกรรมด้านข้อมูลที่ตอบโจทย์ แก้ไขปัญหาได้อย่างชัดเจน ด้วยประสิทธิภาพการสืบค้นที่รวดเร็ว ผลเชิงวิเคราะห์แบบออนไลน์ และหากคุณมีตารางข้อมูลดิบการประมวลผลเชิงวิเคราะห์แบบออนไลน์ยิ่งส่งผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น การรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ หากคุณต้องการเข้าถึงข้อมูลเพื่อการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ BigQuery จะรองรับความสามารถในการสตรีม มุมมอง Materialized ผสมผสานรวมกับสถาปัตยกรรมการสตรีมของ BigQuery และดำเนินการรวมแบบเรียลไทม์เพื่อให้ได้ข้อมูลล่าสุด


1. ฟังข้อดี ข้อเสีย ของการมี Website กันครับ 

Website คือ เครื่องมือที่คุณสามารถนำเสนอ สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงประเด็น เพราะผู้ใช้งานจะค้นหาสิ่งที่เขาสงสัยผ่าน Google Search และจะแสดงแหล่งข้อมูลที่มีเนื้อหาเกี่ยวโยงความ คำค้น "Keyword" นั้นๆ ซึ่งเนื้อหาหรือที่รู้จักกันในคำว่า "Content" ปัจจุบันมีมาตราฐานและเกณฑ์ในการแสดงผลที่สำคัญคือแหล่งข้อมูลอ้างอิง และการตรวจสอบขาก AI เพื่อให้แน่ใจถึงเนื้อหาไม่บิดเบือนจากความเป็นจริง ดังนั้นข้อดีของเว็บไซต์ในปัจจุบันคือ 

  • คุณสามารถบอกเล่าสิ่งที่สำคัญของเนื้อหาที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงไปตรงมา โดยแหล่งอ้างอิงนั้นจะประกอบไปด้วย รูปภาพกิจกรรม , บุคคลผู้ซึ่งมีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์ , เนื้อหาที่มีความนิยมและได้รับความสนใจ
  • คุณสามารถนำองค์ประกอบมาแสดงผลบนเว็บไซต์ของคุณได้อย่างอิสระ โดยไม่ส่งผลเส้ยต่อสังคมหรือผิดกฏหมายในแต่ละภูมิภาค 
  • คุณสามารถออกแบบและพัฒนาส่วนโปรแกรมเสริมที่ช่วยในการจัดการไฟล์เอกสาร รายงานและสรุปผลการทำงานในด้านต่างๆ ที่คุณสามารถนำไปช่วยในการตัดสินใจในการบริหารองค์กร เช่น
    • การสร้าง Profile Business ในรูปแบบองค์กรการค้าในโลกออนไลน์ ซึ่งเราจัดทำและให้ความรู้ถึงส่วนที่คุณต้องมีเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางใหม่ และได้รับรู้ความต้องการของลูกค้ารายใหม่อีกมากมาย
    • การนำ Google Analytic ที่เราช่วยในการพัฒนาส่วนขยายต่างๆ ให้เหมาะสมกับคุณได้
    • การนำ Google ADS มาช่วยในการโฆษณาเนื้อหาที่คุณมุ่งหวังให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจ
    • การนำ Google Map มาช่วยประสานการทำงาน การแสดงผลลัพทธ์ในการค้นหาผ่าน Google Map แผนที่ ช่วยให้ลูกค้าหาคุณเจอผ่านช่องทางที่ได้รับความนิยม
    • การนำ นวัตกรรมด้านอื่นๆมาช่วยในการออกแบบและพัฒนาองค์กร ช่วยสนับสนุนการทำงานของคุณให้รวดเร็วและตรงความต้องการ

ถ้ากล่าวถึง ข้อเสียของ Website คงกล่าวได้สั้นๆ ว่ามันคือการเรียนรู้เพิ่มเติม เพราะเว็บไซต์เป็นเครื่องมือที่นำคุณไปสู่การเปลี่ยนแปลง และการออกแบบกลยุทธ์ในการพลักดันธุรกิจและองค์กรของคุณ

ดังนั้นข้อเสียของเว็บไซต์ คือ การเรียนรู้นวัตกรรมด้านข้อมูล ในจัดการข้อมูล การรวบรวมข้อมูล เพื่อสรุปผลในด้านต่างๆ ดังนั้นเราจึงให้คำปรึกษาและแนะนำทุกท่าน ก่อนการมีเว็บไซต์หรือพัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่นให้เข้าใจในกระบวนการทำงาน เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุนของคุณ

 

2. ภาพรวมๆ ในการใช้  Website  สนับสนุนการใช้ชีวิตประจำวัน เลือกชมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณได้ที่ Link ต่อไปนี้

  • เว็บไซต์คือแหล่งข้อมูลที่สามารถสร้างตัวตนและประชาสัมพันธ์สิ่งที่มีค่าของคุณและองค์กรคุณให้ทั้งโลกได้รับรู้ ด้วยคุณสมบัติของ SEO ที่ส่งผลให้เนื้อหาที่มีคุณภาพของคุณอยู่บน Search Engine หรือโปรแกรมค้นหา ได้อย่างแน่นอน ด้วยระยะเวลาและความมุ่งมั่นในการนำเสนอเนื้อาหของคุณ เราพร้อมช่วยเหลือและให้คำแนะนำตลอดเวลา
  • เว็บไซต์ที่แหล่งข้อมูลที่ช่วยให้การขายสิ้นสุดลง ที่เรียกกันว่า “conversion” มาจากคำว่า “convert” คือ เปลี่ยนจากกลุ่มเป้าหมายที่สนใจหรือกำลังตัดสินใจอยู่ ให้กลายมาเป็นลูกค้าที่ซื้อจริง 
  • เว็บไซต์คือเครื่องมือที่สำคัญ ของการตลาดออนไลน์ ไม่เพียงแต่มุ่งไปที่ การขายสินค้าและการบริการเท่านั้น พฤติกรรมของลูกค้าที่เข้ามารับชมเว็บไซต์ การคลิกเพื่อดูเนื้อหา การกดถูกใจ การกดแชร์ สมัครสมาชิก หรือสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางบริการที่เราสามารถพัฒนาให้ตรงกับผลิตภัณฑ์ของคุณได้ ดังนั้นการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวเราจึงเรียกว่า "เส้นทางซื้อลูกค้า Funnel Marketing" เมื่อคุณนำเส้นทางมาวิเคราะห์เป็นความต้องการของลูกค้า คุณจะสามารถกำหนดเป้าหมายในการบริหารจัดการ หรือการทำโฆษณาที่ตรงความต้องการของตลาดนั้นๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เสี่ยงต่อค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาและคาดเดา

 

3. ขั้นตอนที่สำคัญในการออกแบบและพัฒนา Website ที่สำคัญ "ทางลัด" ในการนำนวัตกรรมมาใช้บนเว็บไซต์หรือช่วยเสริมประสิทธิภาพ

  •  การวิเคราะห์ เส้นทางซื้อลูกค้า "Funnel Marketing" เราได้ออกแบบและพัฒนาเว็บไวต์ที่เราให้บริการเป็นแบบ แคตตาล็อค เพื่อให้เกิดกลไกในการแยกเส้นทางความสนใจ เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ และนำมาใช้ในสรุปแผนการตลาด เช่น
    • การกำหนดผลิตภัณฑ์ยอดนิยมสำหรับพลักดันเพื่อเพิ่มยอดขาย
    • การกำหนดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาต่อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม
    • การกำหนดตัวชี้วัดหลังการทำโฆษณาในรูปแบบต่างๆ เช่น การทำโฆษณาด้วย Keyword , การทำโฆษณาแบบ Display, การทำโฆษณาแบบ Video
  • การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิเคราะห์ ความน่าจะเป็นในการนำเสนอ ที่มุ่งเน้น จุดแข็ง จุดอ่อน และกลยุทธ์เพื่อเอาชนะคู่แข่ง เราจะใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้โฆษณาของคุณนั้นแสดงผลต่อผู้ที่สนใจและต้องการบริการนั้นๆ ได้อย่างตรงประเด็นเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการทำโฆษณาเราจึงนำ ตัวชี้วัดถึงคุณภาพในการทำโฆษณา มาช่วยเป็นตัวกำหนดการปรับปรุงเนื้อหา ช่องทาง เพื่อช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาต่อไปในอนาคต

 

โครงการอบรมพัฒนาเว็บไซต์ บรรลุเป้าหมายด้วย Application ด้านเนื้อหา

ช่องใหม่ สร้างเพื่อ คนรักเว็บไซต์ https://www.youtube.com/@user-rv3md9jd7y

ขอเชิญทุกท่าน ร่วมกดติดตาม เพื่อรับประโยชน์มากมาย มีดีและฟรีแน่นอน ครับ


การวางแผน Planning หรือ Project Design , การดำเนินงาน Implementation, การติดตามและประเมินผล Monitoring and Evaluation :

การติดตามและประเมินผล / แนวทางการกำหนด KPIs

การติดตามและประเมินผล


ความหมายของการติดตามและประเมินโครงการ

  • การติดตามโครงการ (Monitoring)  
    หมายถึง กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับปัจจัยนำเข้า (Input) การดำเนินงาน (Process) และผลการดำเนินงาน (Output) เพื่อเป็นข้อมูลย้อนกลับ สำหรับการกำกับ ทบทวน และ แก้ไขปัญหาขณะดำเนินโครงการ
  • การประเมินโครงการ (Evaluation)  
    หมายถึง กระบวนการตรวจสอบและตัดสินคุณค่า เกี่ยวกับปัจจัยนำเขา การดำเนินงานและผลการดำเนินโครงการ เพื่อเป็นสารสนเทศสำหรับการปรับปรุงการดำเนินการ สรุปผลสำเร็จและพัฒนาโครงการต่อไป

 

วงจรการดำเนินโครงการ การดำเนินการโครงการใดๆ ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน คือ

 

  • 1. การวางแผน (Planning หรือ Project Design) เป็นการศึกษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับโครงการ เพื่อสร้างวิสัยทัศน์อันจะนำไปสู่การกำหนดรายละเอียดในแต่ละส่วนโครงการ ได้แก่การกำหนดวัตถุประสงค์เป้าหมายแนวทางการดำเนินงานและผลที่คาดว่าจะได้
  • 2. การดำเนินงาน/การปฏิบัติตามแผน (Implementation)  เป็นขั้นตอนการบริหารงานเพื่อดำเนินกิจกรรมตามที่กำหนดไว้ในส่วนของการวางแผน เป็นการบริหารจัดการทรัพยากรให้ไปสู่เป้าหมายของโครงการ
  • 3. การติดตามและประเมินผล (Monitoring and Evaluation)  เป็นขั้นตอนที่มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินโครงการ เพราะเป็นการติดตามกำกับการดำเนินการของโครงการ เพื่อปรับปรุงและตรวจสอบผลสำเร็จของโครงการว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย หรือตัวชี้วัดหรือไม่

 

1. กระบวนการในการควบคุมติดตามผลและการประเมินผลการปฏิบัติงาน

กระบวนการในการควบคุมติดตามผลและการประเมินผลการปฏิบัติงาน นับเป็นเครื่องมือ หรือองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการการบริหารทรัพยากรมนุษย์สมัยใหม่ ข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลสามารถนำไปใช้ประโยชน์นับตั้งแต่กระบวนการสรรหา คัดเลือกพนักงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานทราบจุดเด่น จุดด้อย ระดับขีดความสามารถและศักยภาพของพนักงานผู้ปฏิบัติงานแต่ละคน นอกจากนี้การประเมินผลการปฏิบัติงานยังช่วยให้ทราบว่าองค์การควรจะให้ผลตอบแทนมากน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานของพนักงานในแต่ละช่วงที่ทำการประเมิน

หลักการประเมินผลการปฏิบัติงาน

  • 1. การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นกระบวนการประเมินค่าผลการปฏิบัติงาน มิใช่ประเมินค่าบุคคล (Weigh the Work-Not the Worker) กล่าวคือ ผู้ประเมินจะคำนึงถึงการประเมินค่าของผลการปฏิบัติงานเท่านั้น มิได้มุ่งเน้นประเมินค่าของตัวบุคคลหรือของพนักงาน
  • 2. การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาทุกคน ทั้งนี้เนื่องจากในกระบวนการจัดการ ผู้บังคับบัญชามิได้มีหน้าที่เพียงแต่การวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนเข้าทำงาน การสั่งงาน และประสานงานเท่านั้น
  • 3. การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีความแม่นยำในการประเมิน หมายถึง ความเชื่อมั่นได้ (Reliability) ในการประเมินและความเที่ยงตรง (Validity) ของการประเมิน
  • 4. การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีเครื่องมือหลักช่วยในการประเมินที่สำคัญ ได้แก่ ใบกำหนดหน้าที่งาน (Job Description) มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Performance Standard) แบบประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal form) และระเบียบปฏิบัติงานบุคคลว่าด้วยการประเมินผลการปฏิบัติงาน (Personnel Procedure on Performance Appraisal)
  • 5. การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีการแจ้งผลการประเมินและหารือผลการปฏิบัติงานภายหลังจากเสร็จสิ้นการประเมินแล้ว
  • 6. การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีการดำเนินการเป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง

 

2. มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงาน

มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงานข้อนี้มีวัตถุประสงค์ให้ผู้ประเมินพิจารณาความเหมาะสมของระบบการติดตามประเมินผลการควบคุมภายในของหน่วยงาน อันจะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการควบคุมภายใน ในการติดตามประเมินผลการควบคุมภายใน  ควรเป็นการประเมินคุณภาพของผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ความมั่นใจว่าข้อตรวจพบจากกการตรวจสอบ และการสอบถามอื่นได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างทันกาล การติดตามประเมินผลการควบคุมภายในประกอบไปด้วย

1. การติดตามผลในระหว่างปฏิบัติงาน (Ongoing Monitoring Activities) การติดตามผลระหว่างปฏิบัติงานเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติงานตามปกติ ซึ่งรวมถึงกิจกรรมการบริหารงานและการควบคุมดูแลการปฏิบัติงาน การเปรียบเทียบ การสอบยัน และกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ประจำของบุคลากร และยังรวมถึงการทำให้แน่ใจว่าผู้บริหารและหัวหน้างานเข้าใจความรับผิดชอบของตนต่อการควบคุมภายในและเข้าใจความจำเป็นที่ต้องมีการควบคุมภายในและการติดตามประเมินผลการควบคุมภายในเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามปกติ

2. การประเมินระบบการควบคุมภายในเป็นรายครั้ง (Separated Evaluations of Internal Control System) การประเมินเป็นรายครั้ง เป็นการประเมินประสิทธิผลของการควบคุมภายในของหน่วยงาน ณ เวลาใดเวลาหนึ่งที่กำหนด การประเมินอาจเป็นในรูปแบบการประเมินการควบคุมภายในด้วยตนเอง (Self-Assessments) นอกจากนี้ การติดตามประเมินผลยังรวมถึงนโยบายและวิธีปฏิบัติเพื่อความมั่นใจว่าข้อตรวจพบและข้อเสนอแนะจากการตรวจสอบและการสอบถามได้รับความสนใจจากฝ่ายบริหารและมีการปรับปรุงแก้ไขทันที

 

3. การกำหนดตัวชี้วัดและเกณฑ์การประเมินผล ดังนี้

  • 1. ตัวชี้วัดในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์
  • 2. ตัวชี้วัดในการบรรลุพันธกิจหลัก
  • 3. ตัวชี้วัดเกี่ยวกับกระบวนการที่สร้างคุณค่า
  • 4. ตัวชี้วัดของแผนกลยุทธ์
  • 5. ตัวชี้วัดของแผนงาน / โครงการ

 

4. เกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดการประเมินผลการตลาดและการประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วยเกณฑ์และตัวชี้วัด ดังนี้

1. เกณฑ์สัมฤทธิผลและการบรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบาย (Achievemant)

เป็นการประเมินความสำเร็จโดยพิจารณาเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ กับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในนโยบาย โดยเป็นการประเมินผลขององค์กร 2 ส่วนคือ ผลในภาพรวมและระดับปฏิบัติการ ผลการดำเนินงานจะต้องเปิดเผยให้สาธารณชนทราบอย่างกว้างขวาง อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอและมีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน อาจเป็นทุกไตรมาส หรือผลการดำเนินงานประจำปีสัมฤทธิผลรวมถึงการดำเนินงานที่มุ่งการบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธในระยะยาว โดยมีตัวชี้วัดที่สำคัญ 2 ประการ คือ

1.1 ผลผลิต (Outputs) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

  • 1) ผลผลิตในภาพรวม (Overall outputs) เป็นการประเมินผลผลิตเทียบกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ โดยเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงกับเป้าหมายรวมขององค์กร ในสายตาของสมาชิกขององค์กรและและประชาชนผู้รับบริการ การประเมินผลดังกล่าวมีลักษณะที่เป็นพลวัตร (Dynamic) และมีปฏิสัมพันธ์กับสภาวะแวดล้อมของภายนอกองค์กร
  • 2) ผลผลิตระดับปฏิบัติการ (Operation outputs) เป็นการประเมินผลโดยพิจารณาระดับการบรรลุเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการ โดยอาจพิจารณาจากผลผลิตต่อหน่วยกำลังคนระดับการบริการต่อหน่วยเวลา สัดส่วนของต้นทุนและผลตอบแทน สถานภาพทางการเงิน สินทรัพย์และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทน (Non – performing loan) คุณภาพของผลผลิตและบริกาสาธารณะประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรขององค์กร การประหยัดพลังงานและการรักษาสภาวะแวดล้อม

2. เกณฑ์ความเสมอภาคและความเป็นธรรมในสังคม ประกอบด้วยตัวชี้วัดที่สำคัญ 4 ประการ คือ

  • 1) การเข้าถึง เน้นความสำคัญในเรื่องโอกาสของประชาชน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้ได้รับบริการสาธารณะ
  • 2) การจัดสรรทรัพยากร พิจารณาถึงความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรให้กับประชาชน
  • 3) การกระจายผลประโยชน์ เน้นความเป็นธรรมในการกระจายผลประโยชน์หรือผลตอบแทนให้แก่สมาชิกในสังคม
  • 4) ความเสมอภาค เน้นความเป็นธรรมเพื่อให้หลักประกันเรื่องสิทธิและโอกาสในการได้รับบริการสาธารณะโดยปราศจากอคติ ไม่แบ่งแยกกลุ่ม

3. เกณฑ์ความสามรถและคุณภาพในการให้บริการ ประกอบด้วยตัวชี้วัด 4 ประการ

  • 1) สมรรถนะของหน่วยงาน เป็นตัวชี้ขีดความสามารถในการให้บริการและตอบสนองค์วามต้องการของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย
  • 2) ความทั่วถึงและเพียงพอ พิจารณาถึงความครอบคลุม ความเพียงพอ และความครบถ้วนของการให้บริการทั้งในด้านกลุ่มเป้าหมายที่รับบริการและระยะเวลาที่บริการ
  • 3) ความถี่ในการให้บริการ เป็นตัวชี้วัดระดับการบริการต่อหน่วยเวลาว่ามีความสม่ำเสมอต่อภารกิจนั้นหรือไม่
  • 4) ประสิทธิภาพการให้บริการ เป็นการชี้วัดประสิทธิภาพขององค์กรที่มุ่งเน้นการบริการที่รวดเร็ว ทันเวลา มีการใช้ทรัพยากรที่เหมาะสม ซึ่งในทางปฏิบัติจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานการบริการไว้เป็นแนวทาง

4. เกณฑ์ความรับผิดชอบต่อหน่วยงาน ประกอบด้วยตัวชี้วัด 4 ประการ

  • 1) พันธกิจต่อสังคม เป็นตัวชี้วัที่แสดงถึงภารกิจของหน่วยงานที่มีต่อสังคม พิจารณาได้จากวิสัยทัศน์ นโยบาย แผนงานของหน่วยงาน
  • 2) ความรับผิดชอบต่อสาธารณะเป็นตัวชี้วัดถึงความรับผิดชอบต่อประชากรกลุ่มเป้าหมาย
  • 3) การให้หลักประกันความเสี่ยง เป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญเพื่อให้หลักประกันว่าประชาชนผู้รับบริการจะได้รับความคุ้มครองและหรือการชดเชยจากหน่วยงานหากมีความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของหน่วยงาน
  • 4) การยอมรับข้อผิดพลาด เป็นตัวชี้ถึงความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่จะยอมรับต่อสาธารณะชนในกรณีเกิดความผิดพลาดในการบริหารหรือการปฏิบัติงาน

 

5. เกณฑ์การตอบสนองค์วามต้องการของประชาชน ประกอบด้วยตัวชี้วัดที่สำคัญ 4 ประการ คือ

  • 1) การกำหนดประเด็นปัญหา การกำหนดประเด็นปัญหาที่มาจากประชาชนผู้รับบริการและมีการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญ
  • 2) การรับฟังความคิดเห็น เป็นตัวชี้ถึงระบบเปิดกว้างในการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชนผู้รับบริการ
  • 3) มาตรการเชิงยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหา เป็นตัวชี้วัดถึงความพร้อมในการแก้ปัญหาให้กับประชาชนผู้รับบริการที่มีทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งเปิดกว้างให้สาธารณชนได้รับทราบและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
  • 4) ความรวดเร็วในการแก้ปัญหา เป็นตัวชี้วัดการตอบสนองในการแก้ไขปัญหา การให้ความสำคัญและการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ไม่ละเลยเพิกเฉยต่อปัญหา

 

6. เกณฑ์ความพึงพอใจของลูกค้า ประกอบด้วยตัวชี้วัด 2 ประการ คือ

  • 1) ระดับความพึงพอใจ เป็นตัวชี้วัดความเห็นของประชาชนที่มีต่อหน่วยงานซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณภาพการปฏิบัติงาน
  • 2) การยอมรับหรือคัดค้าน เป็นตัวชี้วัดระดับการยอมรับมาตรการ นโยบายของหน่วยงานซึ่งพิจารณาจากสัดส่วนการยอมรับหรือคัดค้าน เนื่องมาจากผลกระทบของนโยบายของหน่วยงาน

 

7. เกณฑ์ผลเสียหายต่อสังคม ประกอบด้วยตัวชี้วัดที่สำคัญ 2 ประการ คือ

  • 1) ผลกระทบภายนอก เป็นตัวชี้วัดว่าหน่วยงานก่อให้เกิดผลกระทบซึ่งสร้างความเสียหายจากการดำเนินงานแก่ประชาชนหรือไม่ โดยอาจวัดจากขนาดและความถี่จากการเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น การก่อสร้างถนนขวางทางน้ำหลากทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมให้ญ่
  • 2) ต้นทุนทางสังคม เป็นตัวชี้วัดผลเสียหายที่สังคมต้องแบกภาระ เช่นค่าใช้จ่ายในฟื้นฟูบูรณะความเสียหายที่เกิดขึ้น

 

เกณฑ์และตัวชี้วัดผลการดำเนินงานจะเป็นการพิจารณาเกณฑ์รวม (Multiple criteria and indicaotrs) และสามารถใช้เป็นกรอบหรือเครื่องมือในการประเมินผลลัพธ์สุดท้ายและผลกระทบในการดำเนินงานในภาพรวม

- เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับระดับการบรรลุผลและการสนองตอบความพึงพอใจของลูกค้าหรือประชากรกลุ่มเป้าหมาย

สำหรับค่าตัวแปร (Attibutes) อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะกิจกรรมการดำเนินงานของหน่วยงาน

 

5. เกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดการประเมินผลโครงการ


การประเมินผลโครงการ จำเป็นต้องมีเกณฑ์และตัวชี้วัดเพื่อเป็นเครื่องมือกำหนดกรอบทิศทางในการวิเคราะห์และประเมินผลโครงการ ประกอบด้วยเกณฑ์ที่สำคัญ 8 เกณฑ์ ด้วยกันคือ

1. เกณฑ์ความก้าวหน้า (Progress)

เป็นการพิจารณาเปรียบเทียบผลของการดำเนินกิจกรรมกับเป้าหมายที่กำหนดตามแผน การประเมินความก้าวหน้ามุ่งที่จะตอบคำถามว่า การดำเนินกิจกรรมตามโครงการสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดหรือไม่ เป็นไปตามกรอบเวลาหรือไม่และประสบกับปัญหาอุปสรรคอะไรบาง ประกอบด้วยตัวชี้วัด 4 ประการ คือ

  • 1) ผลผลิตเทียบกับเป้าหมายรวมในช่วงเวลา เป็นการดูสัดส่วนของผลผลิต(Outputs) ของโครงการว่าบรรลุเป้าหมายมากน้อยเพียงใด อาทิ ความยาวของถนนที่สร้างได้ จำนวนแหล่งน้ำขนาดย่อยเพื่อการเกษตร สัดส่วนปริมาณภารงานการก่อสร้าง เทียบกับเป้าหมายรวมในช่วงเวลาที่กำหนด
  • 2) จำนวนกิจกรรมแล้วเสร็จ เนื่องจากโครงการประกอบด้วยชุดกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย จึงจำเป็นต้องมีตัวชี้วัดความก้าวหน้า โดยพิจารณาจำนวนกิจกรรมและประเภทของกิจกรรมที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งกิจกรรมหลัก กิจกรรมพื้นฐาน กิจกรรมรอง และกิจกรรมเสริม ในช่วงระยะเวลาอาจเป็นสัปดาห์ เดือน ไตรมาส หรือระยะของโครงการ (Phase)
  • 3) ทรัพยากรที่ใช้ไปในช่วงเวลา เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าของการใช้ทรัพยากรในโครงการ ซึ่งครอบคลุมด้านงบประมาณโครงการ ได้แก่ งบประมาณที่ใช้ไป งบประมาณที่อยู่ระหว่างผูกพัน เงินงวดและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโครงการ และอัตราการใช้บุคลากรสัมพัทธ์กับเวลา ในรูปของค์น – วัน (Man – day) หรือ คน เดือน (Man – month)
  • 4) ระยะเวลาที่ใช้ไป เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าเพื่อดูว่าได้ใช้เวลาไปเท่าใดแล้ว และเหลือระยะเวลาอีกเท่าใดจึงจะครบกำหนดแล้วเสร็จ โดยจะสามารถใช้เป็นเกณฑ์ประเมินและควบคุมกิจกรรมให้บรรลุตามเป้าหมายด้านเวลา และเพื่อทราบถึงระยะเวลาที่จะต้องใช้จริงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายรวม

2. เกณฑ์ประสิทธิภาพ (Efficiency)

การประเมินประสิทธิภาพเป็นการเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้ กับทรัพยากรที่ใช้ไปในการดำเนินงาน ทรัพยากรที่ใช้นอกจากงบประมาณแล้ว ยังหมายรวมถึงทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรทางการจัดการและเวลาที่ใช้ไปในการดำเนินงาน ประกอบด้วยตัวชี้วัด 4 ประการ คือ

  • 1) สัดส่วนผลผลิตต่อค่าใช้จ่าย เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรทางการเงินของโครงการเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เหมาะสมและคุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สมประโยชน์ ลดค่าใช้จ่ายและประหยัดต้นทุนการผลิต
  • 2) ผลิตภาพต่อกำลังคน เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการผลิตต่อบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่โครงการ ซึ่งนอกจากจะเป็นตัวชี้ถึงประสิทธิภาพแล้วการดำเนินงานแล้ว ยังแสดงถึงสมรรถนะและศักยภาพของทรัพยากรบุคคลในการดำเนินโครงการ และจะเป็นแนวทางในการปรับขนาดกำลังคนที่เหมาะสมในการดำเนินกิจกรรม และการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในระยะยาวอีกด้วย
  • 3) ผลิตภาพต่อหน่วยเวลา เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการผลิตในช่วงเวลา อาทิ จำนวนครัวเรือนที่ได้รับการอบรมอาชีพเสริมนอกภาคเกษตรต่อเดือน จำนวนนักเรียนที่เข้าเรียนต่อตามโครงการขยายโอกาสทางการศึกษาในแต่ละปี จำนวนผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในแต่ละช่วงไตรมาส
  • 4) การประหยัดทรัพยากรการจัดการ เป็นตัวชี้วัดความสามารถของโครงการในการประหยัดทรัพยากรทางการบริหารจัดการ อาทิ การปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในการดำเนินโครงการการตัดทอนขั้นตอนการปฏิบัติซึ่งส่งผลต่อการลดค่าใช้จ่ายของโครงการ การประหยัดค่าพลังงานและค่าสาธารณูปการคิดเป็นร้อยละของค่าใช้จ่ายรวม

3. เกณฑ์ประสิทธิผล (Effectiveness)

การประเมินประสิทธิผล เป็นเกณฑ์พิจารณาระดับการบรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน โดยดูจากผลลัพธ์จากการดำเนินงาน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของประชากรกลุ่มเป้าหมายตามโครงการประกอบด้วยตัวชี้วัด 4 ประการ คือ

  • 1) ระดับการบรรลุเป้าหมาย เป็นตัวชี้วัดว่าโครงการบรรลุเป้าหมายด้านใดบ้างและการบรรลุเป้าหมายส่งผลต่อประชากรเป้าหมายอย่างไร โดยสามารถวัดการเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณและคุณภาพของประชากรเป้าหมาย อาทิ การบรรลุเป้าหมายด้านเศรษฐกิจ สังคม
  • 2) ระดับการมีส่วนร่วม เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จโดยให้ความสำคัญกับมิติการมีส่วนร่วม โดยสามารถอธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้ว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนส่งผลต่อระดับความสำเร็จมากน้อยเพียงไร และโครงการจะปรับปรุงส่งเสริมการมีส่วนร่วมได้อย่างไร ระดับการมีส่วนร่วมสามารถวัดจาก จำนวนประชากร ความถี่ระดับและกิจกรรม ซึ่งครอบคลุมการร่วมตัดสินใจ วางแผนและติดตามผล
  • 3) ระดับความพึงพอใจ เป็นเกณฑ์วัดระดับการยอมรับ โดยอาจพิจารณาจากสัดส่วนของประชากรเป้าหมายที่พึงพอใจกับบริการของรัฐ สัดส่วนของค์รัวเรือนที่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โครงการ ระดับความพึงพอใจในมาตรการตามโครงการ
  • 4) ความเสี่ยงของโครงการ เป็นตัวชี้วัดประสิทธิผลเพื่อดูว่าโครงการมีความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายด้านใดด้านหนึ่งหรือเป้าหมายรวมของโครงการหรือไม่ ซึ่งค่าความเสี่ยงจะประเมินจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของโครงการ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อมทั้งระยะสั้นและระยะยาว

4. เกณฑ์ผลกระทบ (Impacts)

เป็นการพิจารณาผลกระทบโดยรวมต่อประชากรกลุ่มเป้าหมาย ชุมชน สังคมและหน่วยงานในภาพรวม เป็นผลกระทบระยะยาว ผลกระทบอาจมีทั้งที่มุ่งหวัง (Intended impacts) และผลกระทบที่ไม่ได้มุ่งหวัง (Unintended impacts) ซึ่งอาจเป็นผลด้านบวกหรือด้านลบก็ได้ ประกอบด้วยตัวชี้วัด 3 ประการ คือ

  • 1) คุณภาพชีวิต เป็นตัวชี้วัดผลกระทบต่อการพัฒนาหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเป้าหมาย อาทิ รายได้ ความเป็นอยู่ โอกาสทางการศึกษา การมีงานทำ สุขอนามัยสภาพแวดล้อมของค์รัวเรือนชุมชน โดยสามารถวัดจากสัดส่วนครัวเรือนหรือประชากรที่ได้รับบริการจากโครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตที่ดี หรือมาตรฐานการดำรงชีพ
  • 2) ทัศนคติและความเข้าใจ เป็นตัวชี้วัดผลกระทบโดยมุ่งเรื่องทัศนคติและความเข้าใจของประชากรกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อโครงการ โดยสามารถวัดระดับ (Scale) ทั้งเชิงบวกและลบต่อตัวโครงการเอง โดยเฉพาะวัตถุประสงค์และมาตรการนโยบายผลประโยชน์ของโครงการ ความพึงพอใจในการรับบริการ และทัศนคติต่อผู้บริหารและเจ้าหน้าที่โครงการ
  • 3) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เป็นตัวชี้วัดผลกระทบโดยให้ความสำคัญเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย โดยเปรียบเทียบระยะก่อนและหลังมีโครงการ อาทิ สัดส่วนของค์รัวเรือนที่ยอมรับเทคโนโลยีการผลิตที่รักษาสิ่งแวดล้อม จำนวนเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบธรรมชาติมากยิ่งขึ้น การปฏิบัติของใช้ยวดยานโดยเคารพกฎจราจรมากขึ้น การออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้น และลดละพฤติกรรมการซื้อสิทธิขายเสียง การลดพฤติกรรมการประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่

5. เกณฑ์ความสอดคล้อง (Relevance)

เกณฑ์การประเมินความสอดคล้องมุ่งพิจารณาว่าวัตถุประสงค์ของโครงการสอดคล้องกับความต้องการหรือสามารถแก้ไขปัญหาตามที่กำหนดไว้แต่ต้นหรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการประเมินความต้องการที่แท้จริง ตลอดจนจะต้องตอบคำถามด้วยว่า แนวทางและกลยุทธ์ที่ใช้ในการดำเนินงานสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาที่เป็นจริงได้หรือไม่ ประกอบด้วยตัวชี้วัดที่สำคัญ 3 ประการ คือ

  • 1) ประเด็นปัญหาหลัก ซึ่งพิจารณาจากจำนวนเรื่องหรือประเด็นปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ทั้งที่ได้รับการแก้ไขแล้วและที่ยังไม่สามารถแก้ไข รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาตามความเร่งด่วน ตามความรุนแรงของปัญหา
  • 2) มาตรการหรือกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหา เป็นตัวชี้วัดความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยสามารถดูได้จากมาตรการที่ผู้บริหารโครงการนำมาใช้ตลอดช่วงระยะเวลาของการดำเนินโครงการ และความสอดคล้องกับปัญหาหลัก
  • 3) ความต้องการหรือข้อเรียกร้องของประชากรกลุ่มเป้าหมาย เป็นตัวชี้วัดถึงความต้องการของผู้รับบริการในการแก้ไขปัญหาที่ประสบอยู่ อาทิ คำร้องเรียน ข้อร้องทุกข์ ให้แก้ไขปัญหาเพื่อสนองตอบประชากรกลุ่มเป้าหมายตามโครงการที่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินโครงการ หรือได้รับความเสียหายจากการดำเนินโครงการซึ่งจะเป็นตัวชี้ความสอดคล้องในการดำเนินโครงการและสนองตอบต่อความต้องการของประชากรเป้าหมาย

6. เกณฑ์ความยั่งยืน (Sustainability)

เป็นเกณฑ์การพิจารณาที่สืบเนื่องจากความสอดคล้อง โดยพิจารณาระดับความต่อเนื่องของกิจกรรมว่าจะสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีการใช้งบประมาณจากภายนอกโครงการ ความสามารถในการเลี้ยงตัวเองได้ นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงความสามารถในการขยายกิจกรรมไปยังพื้นที่แห่งให้ม่ประกอบด้วยตัวชี้วัดที่สำคัญ 3 ประการ คือ

  • 1) ความอยู่รอดด้านเศรษฐกิจ (Economic viability) เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรทางการเงินของโครงการ อาทิ จำนวนงบประมาณของโครงการ แผนการใช้จ่ายงบประมาณภาระผูกพัน สัดส่วนค่าใช้จ่ายเทียบกับผลผลิตที่ได้ ปริมาณเงินทุนสำรอง แหล่งสนับสนุนงบประมาณปริมาณงบประมาณหรือเงินทุนหมุนเวียน จำนวน และขนาดกองทุนดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของโครงการ
  • 2) สมรรถนะด้านสถาบัน (Institutional capacity) เป็นตัวชี้วัดความสามารถของหน่วยงานในการบริหารโครงการ การพัฒนาองค์กรประชาชน การมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับการมีส่วนร่วมของประชากรกลุ่มเป้าหมายในกระบวนการตัดสินใจ การวางแผนงานและบริหารโครงการ และการปรับปรุงระเบียบวิธีการปฏิบัติที่เอื้อตอ่ การดำเนินโครงการ
  • 3) ความเป็นไปได้ในการขยายผล เป็นตัวชี้วัดความยั่งยืนโดยพิจารณาความสามารถในการพึ่งตัวเอง โอกาสและช่องทางในการขยายผลการดำเนินโครงการกรณีโครงการประสบผลสำเร็จด้วยดี ทั้งการขยายผลตามแนวราบ กล่าวคือ การเพิ่มกิจกรรมโครงการ การเพิ่มจำนวนประชากรเป้าหมาย การขยายกำลังผลิตของโครงการเดิมและการขยายผลในแนวดิ่ง ได้แก่ การขยายพื้นที่โครงการการขยายเครือข่ายโครงการออกไปทั่วภูมิภาค และการยกระดับโครงการเป็นระดับชาติ

7. เกณฑ์ความเป็นธรรม (Equity)

เป็นเกณฑ์ที่มุ่งให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม (Socail equity) โดยพิจารณาถึงผลลัพธ์และผลกระทบจากการดำเนินโครงการ โดยยึดหลักการว่าประชากรกลุ่มเป้าหมายจะได้รับหลักประกันเรื่องค์วามเป็นธรรม ความเสมอภาค ความทั่วถึง ในการรับบริการ การจัดสรรคุณค่า (Values) และการกระจายผลตอบแทนที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน ประกอบด้วยตัวชี้วัด 3 ประการ คือ

  • 1) ความเป็นธรรมระหว่างกลุ่มอาชีพ เป็นตัวชี้วัดความเป็นธรรมโดยให้ความสำคัญทุกกลุ่มย่อย ในสังคม อาทิ ความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรแหล่งน้ำแก่กลุ่มเกษตรและกลุ่มอาชีพอื่น การจัดหาตำแหน่งให้กับผู้ว่างงานและผู้ถูกเลิกจ้าง มาตรการลดผลกระทบทางสังคมปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่จัดให้แก่ประชากรทุกสาขาอาชีพ
  • 2) ความเป็นธรรมระหว่างเพศ เป็นตัวชี้วัดที่ให้ความสำคัญเรื่องค์วามเป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญมากขึ้นในการประเมินโครงการพัฒนา โดยดูว่าการดำเนินโครงการให้ความเสมอภาคระหว่างเพศ หรือมีการเลือกปฏิบัติระหว่างเพศ (Gender discrimination) หรือไม่ โดยสามารถพิจารณาเรื่องค์วามเท่าเทียมในโอกาส บทบาทระหว่างหญิง/ชาย การปฏิบัติที่เคารพสิทธิ ของสตรี
  • 3) ความเป็นธรรมระหว่างชนรุ่น (Intergenerational equity) เป็นตัวชี้วัดที่เน้นความเป็นธรรมระหว่างชนรุ่น ระหว่างชนรุ่นปัจจุบันและชนรุ่นอนาคต (Future generation) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการจัดสรรและใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดหาพลังงาน โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบด้านสังคม โดยคำนึงถึงชนรุ่นอนาคตซึ่งจะเป็นผู้ได้รับกระทบจากการตัดสินและการดำเนินโครงการในปัจจุบัน

8. เกณฑ์ความเสียหายของโครงการ (Externalities)

เป็นเกณฑ์ที่สำคัญในการประเมินโครงการเพื่อเป็นหลักประกันวา การดำเนินโครงการจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบด้านลบต่อสังคม หรือชุมชน ประกอบด้วยตัวชี้วัดที่สำคัญ 3 ประการ คือ

  • 1) ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เป็นตัวชี้วัดความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินโครงการ โดยเป็นการวัดและประเมินเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจริงกับการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment – EIA) ในช่วงก่อนทำโครงการ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายรับผิดชอบและมีการชดเชยความเสียหายจากผลกระทบในลักษณะที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย เพื่อเป็นหลักประกันความเสี่ยงให้กับสังคม และเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้อนุมัติและผู้ดำเนินโครงการ
  • 2) ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เป็นตัวชี้วัดผลกระทบหรือความเสียหายทางด้านเศรฐกิจที่เกิดจากโครงการพัฒนาของรัฐ ในลักษณะของผลกระทบภายนอก (Externalities) ซึ่งสร้างภาระให้กับประชาชนและชุมชนโดยรอบที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเป็นต้นทุนทางสังคม (Social costs) ที่ต้องเสียไป อาทิ พื้นที่การเกษตรที่ถูกน้ำท่วมเสียหายจากโครงการสร้างเขื่อน
  • 3) ผลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรม เป็นตัวชี้วัดความเสียหายที่เกิดจากการดำเนินโครงการและส่งผลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน อาทิ การดำเนินงานที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การสูญเสียโครงสร้าง แบบแผนและวิถีการดำเนินชีวิตที่ดี ความเสื่อมถอยของขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ความเชื่อ ความเอื้ออาทร ความร่วมมือและความช่วยเหลือเกื้อกูลของชุมชนดั้งเดิม

 

เกณฑ์และตัวชี้วัดดังกล่าว  สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลโครงการ ซึ่งครอบคลุมทุกมิติ  เช่น
- ด้านเศรษฐกิจ, สังคม, มิติด้านการบริหารจัดการ  - มิติด้านทรัพยากร, มิติด้านสิ่งแวดล้อม  - ผลการเรียนรู้, ประสิทธิภาพของการทำงาน

เกณฑ์และตัวชี้วัดเป็นประโยชน์ในการติดตามและประเมินผลโครงการ ในลักษณะที่เป็นพลวัตร ในทุกขั้นตอนของกระบวนการโครงการ เพื่อวัดถึงความสำเร็จและความล้มเหลวของโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ  ซึ่งในทางปฏิบัติจำเป็นต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะโครงการ  โดยกำหนดตัวชี้วัดรวม (Composit indicators) และตัวแปร เพื่อประมวลผลในแต่ละลำดับชั้นหรือสรุปเป็นผลในด้านต่าง ๆ ของแต่ละโครงการ



บริการ พัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่น ที่มีคุณสมบัติด้านข้อมูล