

หลักการทำงานของ API ไม่ใช่การ "ฝัง" (Embed) รายงานในหน้าเว็บโดยตรง แต่เป็นการให้เว็บแอปพลิเคชันของคุณ (ในที่นี้คือ PHP App) สามารถ สั่งการและจัดการทรัพย์สิน (Asset Management) ที่อยู่ใน Looker Studio ได้จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์
กระบวนการทำงานเป็นดังนี้:
การขออนุญาต (Authorization): แอปพลิเคชัน PHP ของคุณจะส่งผู้ใช้ไปยังหน้าจอขอความยินยอมของ Google (Google Consent Screen) ผ่านกระบวนการ OAuth 2.0 เพื่อขอสิทธิ์ในการจัดการ Looker Studio ในนามของผู้ใช้คนนั้น
การรับโทเค็น (Token Exchange): เมื่อผู้ใช้กดยินยอม Google จะส่งรหัส (Authorization Code) กลับมาให้แอปของคุณ แอปจะนำรหัสนี้ไปแลกเป็น Access Token ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจชั่วคราวสำหรับเข้าถึง API
การส่งคำสั่ง (API Calls): แอปของคุณจะใช้ Access Token นี้แนบไปกับทุกๆ คำสั่ง (Request) ที่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Looker Studio API เช่น "ค้นหารายงานทั้งหมด" หรือ "แชร์รายงานนี้ให้ user@example.com"
การรับผลลัพธ์ (Response): เซิร์ฟเวอร์ของ Google จะตรวจสอบสิทธิ์จาก Access Token แล้วประมวลผลคำสั่ง ก่อนจะส่งผลลัพธ์กลับมาในรูปแบบข้อมูลที่มีโครงสร้าง (ส่วนใหญ่เป็น JSON) เพื่อให้แอปของคุณนำไปใช้งานต่อ
พูดง่ายๆ คือ เว็บแอปของคุณทำหน้าที่เป็น "รีโมทคอนโทรล" เพื่อสั่งงาน Looker Studio จากระยะไกล ผ่านชุดคำสั่งที่กำหนดไว้
API ถูกออกแบบมาเพื่องานด้านการจัดการเป็นหลัก ไม่ใช่การแก้ไขเนื้อหารายงาน คุณสมบัติเด่นๆ ที่ทำได้คือ:
การค้นหาทรัพย์สิน (Search Assets): ค้นหารายงาน (Report) และแหล่งข้อมูล (Data Source) ตามเงื่อนไขต่างๆ เช่น ค้นหาตามชื่อ, ตามเจ้าของ, หรือตามประเภท
การจัดการสิทธิ์ (Permission Management): นี่คือคุณสมบัติที่ทรงพลังที่สุด คุณสามารถใช้โค้ดเพื่อ:
แชร์ รายงานหรือแหล่งข้อมูลให้กับผู้ใช้หรือกลุ่ม (Google Groups) ที่ต้องการ
กำหนดสิทธิ์ เป็นผู้มีสิทธิ์ดู (Viewer) หรือผู้มีสิทธิ์แก้ไข (Editor)
ยกเลิกการแชร์ หรือลบสิทธิ์การเข้าถึง
การคัดลอกรายงาน (Copying Reports): คุณสามารถสร้างสำเนารายงานจาก "รายงานต้นแบบ" (Template) ที่สร้างไว้ล่วงหน้าได้ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการสร้างรายงานที่เป็นมาตรฐานให้กับลูกค้าหรือผู้ใช้ใหม่แต่ละรายโดยอัตโนมัติ

การเข้าใจขอบเขตและข้อจำกัดเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อวางแผนการพัฒนาได้ถูกต้อง
สร้างระบบอัตโนมัติ: ลดงานแอดมินที่ต้องทำซ้ำๆ เช่น เมื่อมีลูกค้าใหม่ในระบบ CRM ของคุณ ก็สั่งให้ API สร้างและแชร์รายงาน Looker Studio ให้ลูกค้ารายนั้นทันที
ผสานการจัดการรายงานเข้ากับ Workflow ของแอป: เช่น สร้างปุ่ม "ขอสิทธิ์เข้าถึงรายงาน" ในเว็บแอปของคุณ เมื่อผู้ใช้กด ก็จะส่งคำขอไปให้แอดมินอนุมัติ แล้ว API จะทำการแชร์สิทธิ์ให้โดยอัตโนมัติ
จัดการผู้ใช้จำนวนมาก: หากต้องการเปลี่ยนสิทธิ์ผู้ใช้ 100 คนพร้อมกัน การเขียนสคริปต์ผ่าน API จะง่ายและเร็วกว่าการคลิกทำเองทีละคน
ไม่สามารถสร้างรายงานใหม่จากศูนย์: คุณไม่สามารถใช้ API สั่งว่า "จงสร้างรายงานใหม่ที่มีกราฟแท่ง โดยใช้ข้อมูลจากคอลัมน์ A และ B" ได้ ทำได้เพียง คัดลอก จากรายงานที่มีอยู่แล้วเท่านั้น
ไม่สามารถแก้ไขเนื้อหาในรายงาน: คุณไม่สามารถใช้ API เพื่อเพิ่ม/ลบกราฟ, เปลี่ยนสี, แก้ไขข้อความ, หรือปรับเปลี่ยนดีไซน์ต่างๆ ภายในตัวรายงานได้ การแก้ไขเหล่านี้ยังต้องทำผ่านหน้าเว็บของ Looker Studio โดยตรง
ไม่สามารถสั่งให้ข้อมูลรีเฟรช (Data Refresh): API ไม่สามารถสั่งให้แหล่งข้อมูลดึงข้อมูลล่าสุดได้ ตารางการรีเฟรชข้อมูลยังคงต้องตั้งค่าภายในแหล่งข้อมูลของ Looker Studio เอง
| ข้อดี (Pros) | ข้อเสีย (Cons) |
| ลดขั้นตอนและเป็นอัตโนมัติ (Automation): ประหยัดเวลาและลดความผิดพลาดจากงานที่ต้องทำด้วยตนเองซ้ำๆ | ความซับซ้อนในการตั้งค่า (Setup Complexity): กระบวนการตั้งค่าบน Google Cloud และ OAuth 2.0 ค่อนข้างซับซ้อนและต้องอาศัยความเข้าใจทางเทคนิค |
| ขยายผลได้ง่าย (Scalability): รองรับการจัดการรายงานและสิทธิ์ของผู้ใช้จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ | ฟังก์ชันจำกัด (Limited Functionality): ทำได้แค่จัดการ "กรอบ" ของรายงาน แต่ไม่สามารถยุ่งกับ "เนื้อหา" ภายในได้ |
| การผสานรวม (Integration): สามารถเชื่อมโยงการจัดการรายงานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตรรกะทางธุรกิจในเว็บแอปของคุณได้ | การพึ่งพา Google (Dependency): หาก Google API มีปัญหาหรือเปลี่ยนแปลงนโยบาย อาจส่งผลกระทบต่อฟังก์ชันของแอปคุณได้ |
| สร้างความสอดคล้อง (Consistency): ใช้รายงานต้นแบบเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้ทุกคนจะได้รับรายงานที่มีมาตรฐานเดียวกัน | ต้องการสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ (Admin Rights Needed): การตั้งค่าบางอย่าง (เช่น Domain-Wide Delegation) จำเป็นต้องให้ผู้ดูแลระบบ Google Workspace เป็นผู้ดำเนินการให้ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคได้ |

