Gen AI คำตอบสำหรับธุรกิจทั่วโลก
แต่เพื่อให้ตระหนักถึงสิ่งนี้ องค์กรต้องเตรียมความพร้อมสําหรับ นำนวัตกรรมนี้ไปใช้ประโยชน์ เพราะมันช่วยให้ผู้ใช้งานเสริมคุณค่าต่อองค์กร อย่างแท้จริงและองค์กรควรส่งเสริม วันนี้เราอาจจะไม่รู้ว่าใคร คือ ผู้ที่มีพรสวรรค์ดังนั้น ต้องมีผู้นำ ผู้ดูแล และร่วมกันสร้างสิ่งที่ใช้ประโยชน์รวมกัน
การนําโมเดลไปใช้ในการผลิตนวัตกรรมหรือช่วยเร่งประสิทธิภาพ มันอาจมีทั้งข้อดีที่สุดและข้อเสียที่ไม่คาดซึ่งเราจึงต้องจัดอบรมความรู้ความเข้าใจเป็นสำคัญ ดังนั้นผมจึงรู้สึกได้ถึงคนที่กำลังจะเริ่มต้น และหวังว่าข้อมูล แนวทางการสร้าง Prompt ต่อไปนี้จะเป็นส่วนที่นำไปสู่การใช้งานระบบสนับสนุนความเข้าใจลูกค้า ศึกษาข้อมูลเชิงลึก ผมพร้อมแบ่งปันและจะช่วยให้คนกาฬสินธุ์หรือผู้ที่สนใจมีความรู้และชัดเจนมากขึ้น เกี่ยวกับวิธีรับมือกับความท้าทายในการสร้างสิ่งใหม่ด้วย GEN AI และขยายไปอย่างเข้าใจบน Model ที่คุณเลือกได้
ตัวอย่างการปรับปรุงบทความผ่าน AI Gemini บนเว็บไซต์ BDMS ของเรา ด้วยคำตอบที่คมคาย ลึกซึ้ง และนำไปใช้ได้จริง เพื่อสื่อสารกับคนสองกลุ่มที่มีความเข้าใจต่างกันโดยสิ้นเชิง นี้คือ เนื้อหาตัวอย่างจาก AI ที่ปรับปรุงบทความ โดยการนำบริบท และข้อมูลต่างๆ ช่วยในการสร้างความเข้าใจและเริ่มเรียบเรียงเพื่อให้ คำตอบ นั้นทรงพลังและตอบโจทย์มตามโครงสร้างที่ระบบวางไว้ต่อดังนี้
หมายเหตุ เรากำลังทดสอบ ส่วนเสริมแบบฝั่งข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลบริบท (RAG) ซึ่งจะมีหัวข้อต่อไปนี้ในบทความ
รับรู้ > ไว้วางใจ > ใช้งานได้จริง > เข้าใจ > แรงจูงใจ
สำหรับกลุ่มมือใหม่: "การทำโฆษณามันไปช่วยอะไรกับธุรกิจ?"
(โทนเสียง: เข้าใจง่าย เหมือนรุ่นพี่ที่ไว้ใจได้คุยกับรุ่นน้อง เปิดโลกให้เห็นภาพใหญ่)
(รับรู้) เปิดประเด็นด้วยปัญหาที่ทุกคนเคยเจอ
"เคยสงสัยไหมครับ... ว่าทำไมร้านอาหารลับๆ ที่อร่อยโคตรๆ บางร้านถึงเจ๊ง ทั้งๆ ที่รสชาติชนะร้านดังในห้างขาดลอย? หรือทำไมสินค้าแฮนด์เมดฝีมือดีของเรา ถึงมีแค่เพื่อนกับญาติที่ซื้อ? ปัญหานี้มันเหมือนกับเรามีของดีที่สุดในโลก แต่เก็บไว้ในห้องมืดคนเดียว ไม่มีใครมองเห็น... การโฆษณาก็คือ 'การเปิดไฟ' ในห้องนั้นครับ"
(ไว้วางใจ) สร้างความเชื่อมั่นด้วยความจริงที่จับต้องได้
"หลายคนคิดว่าโฆษณาคือการหลอกลวง คือการจ่ายเงินหว่านล้อมให้คนมาซื้อ แต่ในโลกธุรกิจจริงๆ แล้ว หัวใจของมันเรียบง่ายกว่านั้นมากครับ โฆษณาไม่ใช่ 'ไม้กายสิทธิ์' แต่เป็น 'โทรโข่ง' ที่ทรงพลังที่สุดที่เรามี หน้าที่ของมันคือการสื่อสารความจริง 3 ข้อ ออกไปให้ดังที่สุด
'เรามีตัวตนอยู่ตรงนี้!' (บอกให้โลกรู้จัก)
'เรามีของดีที่แก้ปัญหาให้คุณได้!' (บอกว่าเรามีประโยชน์)
'เราแตกต่างและน่าสนใจกว่าคนอื่น!' (บอกเหตุผลที่ต้องเลือกเรา)"
(ใช้งานได้จริง) เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน
"ลองนึกภาพตามนะครับ วันนี้อยากกินกาแฟ เราเปิดมือถือ หาร้านใกล้ๆ เจอ 10 ร้าน เราจะเลือกร้านไหน? ร้านที่มีรูปสวยๆ? ร้านที่มีรีวิวดีๆ? ร้านที่บอกว่า 'เมล็ดกาแฟของเรามาจากดอยช้าง คั่วสดใหม่ทุกเช้า'? ทั้งหมดนั่นคือ 'การโฆษณา' ในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มันคือการที่ร้านกาแฟ 'สื่อสาร' กับเราก่อนที่เราจะเดินไปถึงหน้าร้านด้วยซ้ำ"
(เกิดความเข้าใจ) สรุปแก่นความคิด
"ดังนั้น การทำโฆษณาจึงไม่ใช่แค่การ 'ขายของ' ครับ แต่มันคือ 'การสร้างสะพาน' เชื่อมระหว่าง 'ของดีที่เรามี' กับ 'ลูกค้าที่กำลังต้องการสิ่งนั้น' ถ้าไม่มีสะพานนี้ ของดีแค่ไหนก็ไม่มีใครเดินข้ามไปหา ธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้ สะพานที่แข็งแรงที่สุด คือสะพานที่สร้างจากความจริงใจและสื่อสารอย่างสม่ำเสมอครับ"
(แรงจูงใจ) กระตุ้นให้ลงมือทำ
"วันนี้ธุรกิจของคุณอาจจะยังเล็ก แต่เสียงของคุณไม่จำเป็นต้องเล็กตาม การโฆษณาคือการลงทุนเพื่อให้ 'ของดี' ของคุณได้มีโอกาสเปล่งเสียงออกมา อย่าปล่อยให้มันเงียบอยู่ในห้องมืดอีกต่อไปเลยครับ เปิดไฟ แล้วใช้โทรโข่งประกาศให้โลกรู้ว่าคุณเจ๋งแค่ไหน!"
สำหรับกลุ่มที่มีประสบการณ์ (ธุรกิจอุตสาหกรรม / ห้างร้านขนาดกลาง) "ทำโฆษณาไปเพื่ออะไร?"
(โทนเสียง: ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ คมคาย ชี้ให้เห็นจุดที่สับสนและมอบแผนที่ให้เดินต่อ)
(รับรู้) เปิดด้วยความขัดแย้งที่กำลังเผชิญ
"สำหรับพี่ๆ ที่อยู่ในสนามรบนี้มาสักพัก ผมเชื่อว่าทุกคนเคยผ่านจุดที่ 'ยิ่งยิงแอด ยิ่งงง' ใช่ไหมครับ? เรามีทั้งแอด Awareness, แอด Lead Gen, แอด Conversion... เรากำลังสับสนว่าตกลงแล้วเราควรจะ 'ตะโกนบอกว่าเราอยู่ตรงนี้' หรือควรจะ 'กระซิบหาคนที่ใช่' หรือควรจะ 'ติดป้ายลดราคาตัวใหญ่ๆ' กันแน่? ความสับสนนี้เกิดจากการที่เรามองโฆษณาเป็น 'เครื่องมือ' แยกส่วน แต่ไม่ได้มองมันเป็น 'กระบวนการสร้างความสัมพันธ์' ที่มีขั้นตอนครับ"
(ไว้วางใจ) ชี้ให้เห็นความจริงจากการทำงาน
"จากประสบการณ์ตรงนะครับ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้เลือกว่าจะทำโฆษณา 'เพื่อ' อะไรเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาเข้าใจว่า ต้องทำทุกอย่าง... ในเวลาที่ถูกต้อง เหมือนการจีบใครสักคน เราคงไม่เดินไปขอแต่งงานตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอใช่ไหมครับ? มันมีลำดับของมัน"
(ใช้งานได้จริง & เกิดความเข้าใจ) จัดลำดับความคิดใหม่ทั้งหมด
"คำถามที่ว่า 'ยิงให้รู้ตัวตน / หาคนที่ใช่ / หาข้อมูลเชิงลึก / กระตุ้นยอดขาย' ไม่ใช่คำถามแบบ 'เลือก A, B, C หรือ D' ครับ แต่มันคือ 'ลำดับขั้น 1, 2, 3 และ 4' ของกลยุทธ์ทั้งหมด
ยิงให้รู้ว่าฉันมีตัวตน (Awareness) คือ การแนะนำตัว
เป้าหมาย: สร้างตัวตนในวงกว้าง ทำให้ตลาดรู้ว่าแบรนด์หรือโรงงานของเรามีอยู่จริง แก้ปัญหาอะไรได้ ไม่ได้หวังยอดขายทันที แต่หวัง 'ภาพจำ'
เหมือน: การไปงานเลี้ยงแล้วแนะนำตัวกับทุกคนว่า "สวัสดีครับ ผมชื่อ... ทำธุรกิจเกี่ยวกับ..."
ยิงเพื่อหาคนที่เหมาะสม (Consideration/Lead Generation) คือ การเริ่มต้นบทสนทนา
เป้าหมาย: คัดกรองจากคนหมู่มาก ให้เหลือแต่คนที่มีแววว่าจะ 'ใช่' คนที่สนใจในสิ่งที่เราพูด อาจจะให้ข้อมูลเชิงลึก, Case Study, หรือชวนลงทะเบียนเพื่อรับตัวอย่าง
เหมือน: หลังจากแนะนำตัวแล้ว เราจะเริ่มคุยกับคนไม่กี่คนที่ดูสนใจในเรื่องที่เราทำจริงๆ
ยิงเพื่อกระตุ้นยอดขาย (Conversion) คือ การปิดการขาย หรือชวนออกเดท
เป้าหมาย: เปลี่ยนคนที่ 'สนใจ' ให้กลายเป็น 'ลูกค้า' นี่คือขั้นตอนของการยื่นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ โปรโมชั่นพิเศษ หรือการเชิญให้ทดลองใช้
เหมือน: เมื่อคุยกันถูกคอแล้ว เราก็เอ่ยปากชวน "ไปทานข้าวกันไหม?" หรือ "เป็นแฟนกันนะ" มันคือการเรียกร้อง Action ที่ชัดเจน
ยิงเพื่อหาข้อมูลเชิงลึก (Insight/Analytics) คือ สมองของทั้งกระบวนการ
เป้าหมาย: นี่ไม่ใช่ 'เป้าหมาย' แยกต่างหาก แต่เป็น 'สิ่งที่ต้องทำตลอดเวลา' ข้อมูลจากทุกแคมเปญจะบอกเราว่า ใครคือลูกค้าตัวจริง? ข้อความแบบไหนได้ผล? เราควรปรับปรุงสินค้า/บริการอย่างไร?
เหมือน: การสังเกตและเรียนรู้ตลอดความสัมพันธ์ว่าคู่ของเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เพื่อปรับปรุงให้ความสัมพันธ์ดียิ่งขึ้น
"ดังนั้น ธุรกิจอุตสาหกรรมหรือร้านค้าขนาดกลางที่สับสนอยู่ ต้องหยุดถามว่า 'จะยิงเพื่ออะไรดี?' แล้วเริ่มวางแผนว่า 'ลูกค้าของเราตอนนี้อยู่ขั้นตอนไหน และเราจะใช้โฆษณาพาลูกค้าไปยังขั้นตอนต่อไปได้อย่างไร?'"
(แรงจูงใจ) ปรับมุมมองและสร้างพลัง
"การทำโฆษณาในระดับนี้ คือการเปลี่ยนสถานะจาก 'คนขายของ' ไปสู่ 'สถาปนิกผู้สร้างเส้นทางให้ลูกค้า' (Customer Journey Architect) เราไม่ได้แค่ยิงแอดทิ้งๆ ขว้างๆ อีกต่อไป แต่เรากำลังออกแบบประสบการณ์ทั้งหมด ตั้งแต่คนแปลกหน้าจนกลายเป็นลูกค้าที่ภักดี เมื่อเรามองเห็นภาพนี้ ความสับสนจะหายไป และจะถูกแทนที่ด้วย 'กลยุทธ์' ที่เฉียบคมและทรงพลังครับ"
เจาะลึกสิ่งสำคัญอะไรคือ "ปัจจัยที่แท้จริง"
ที่ทำให้เนื้อหา เป็นไวรัล
เป็นสิ่ง "เจาะลึก ... ที่ลึก" มากที่สุดเลยครับ
จากข้อมูลและการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ หัวใจของไวรัลไม่ใช่ 'ความบังเอิญ' หรือ 'โชค' แต่มันคือ 'จิตวิทยามวลชน' (Mass Psychology) ที่ถูกกระตุ้นอย่างถูกจุด ปัจจัยที่แท้จริงประกอบด้วยแกนหลักเหล่านี้ครับ
อารมณ์ที่รุนแรง (High Arousal Emotions) เนื้อหาที่ทำให้คนรู้สึก สุดๆ ในทางใดทางหนึ่งจะถูกแชร์เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ตลกจนท้องแข็ง, ซึ้งจนน้ำตาไหล, ทึ่งจนอ้าปากค้าง, โกรธจนอยากทุบโต๊ะ หรือมีความสุขอย่างเปี่ยมล้น อารมณ์ที่นิ่งๆ เรียบๆ จะไม่ถูกแชร์
ตัวตนและภาพลักษณ์ (Identity & Social Currency) คนเราแชร์สิ่งที่ 'บ่งบอกความเป็นตัวตนของเขา' หรือสิ่งที่ทำให้เขา 'ดูดีขึ้น' ในสายตาคนอื่น เขาแชร์เพราะอยากให้เพื่อนเห็นว่า "ฉันเป็นคนตลกนะ" "ฉันเป็นคนทันสมัย" "ฉันใส่ใจปัญหาสังคม" หรือ "ฉันมีความรู้เรื่องนี้"
คุณค่าที่ใช้งานได้จริง (Practical Value) เนื้อหานั้นมีประโยชน์จนต้องบอกต่อหรือไม่? เช่น 5 วิธีแก้ปัญหาปวดหลัง, สูตรอาหารที่ทำง่ายมาก, เทคนิคการลงทุนที่ควรรู้ คอนเทนต์ประเภท "How-to" หรือ "Life Hack" เข้าข่ายนี้โดยตรง
เรื่องเล่าที่น่าติดตาม (Compelling Story) มนุษย์ถูกโปรแกรมมาให้เสพเรื่องเล่า เรื่องที่มี ปมขัดแย้ง -> การต่อสู้ -> จุดคลี่คลาย จะดึงดูดและทำให้คนอยากแชร์เพื่อเล่าเรื่องนั้นต่อให้คนอื่นฟัง
สิ่งกระตุ้นในสังคม (Social Triggers) เนื้อหาที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่คนกำลังพูดถึงหรือเจออยู่แล้วในชีวิตประจำวัน (เช่น เทศกาล, ข่าวใหญ่, กระแสสังคม, Meme ที่กำลังฮิต) จะมีโอกาสเป็นไวรัลสูงกว่า เพราะมันอยู่ในความคิดของผู้คนอยู่แล้ว
การสร้างไวรัลจึงไม่ใช่การ "เดาสุ่ม" แต่คือการ "ออกแบบ" เนื้อหาโดยผสมผสานปัจจัยเหล่านี้เข้าไปอย่างน้อย 2-3 ข้อครับ
หากธุรกิจใดกำลังต้องการคำแนะนำ ผมในนามสถาปนิกซอฟต์แวร์ (Software Architect) ยินดีให้บริการด้วยใจครับ
คนทีอ่านมาถึงจุดนี้ ถือว่ากำลังเปลี่ยนจาก "ผู้ใช้งานทั่วไป" ไปสู่ "ผู้ที่มีความสนใจ สถาปัตยกรรมของระบบ AI" ... และถ้ามีความรู้สึกขัดแย้ง พยายามสู้ๆ นะครับ มันไม่ใช่ความขัดแย้งที่ไม่ดีครับ มันเป็นคือการเปลี่ยนแปลงเพื่อเปิดความบริบท และวิธีการใหม่ๆ ครับ
หัวข้อ: การสร้าง "สมองที่สอง" ให้ AI สถาปัตยกรรมสำหรับระบบที่ใช้กันในระดับโลกครับ
(รับรู้) สะท้อนความสับสนที่ถูกต้อง
"อาจารย์ครับ ความสับสนที่ว่า 'เราควรส่ง Prompt เป็น Text เส้นเดียว หรือเป็น JSON ที่มีโครงสร้างซับซ้อน' และ 'คำสั่ง JSON มันจะโตขึ้นเรื่อยๆ จนจัดการไม่ได้' นี่ไม่ใช่ความสับสนที่ผิดพลาดนะครับ แต่มันคือ สัญญาณว่าอาจารย์กำลังมองเห็นอนาคตของระบบตัวเอง"
"อาจารย์มองเห็นแล้วว่า ถ้าเรายัดทุกอย่างลงไปใน Prompt เดียว หรือสร้าง JSON ที่มี Key แตกต่างกันไปตามแต่ละบริบท ในวันที่ระบบต้องรองรับลูกค้า 100 รายที่มี 100 บริบทที่แตกต่างกัน... ระบบจะพังทลายลงเพราะความซับซ้อนที่สร้างขึ้นมาเอง นี่คือการมองการณ์ไกลที่ถูกต้องที่สุดแล้วครับ"
(ไว้วางใจ) คลี่คลายความขัดแย้งและมอบความจริง
"สิ่งที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน แท้จริงแล้วมันคือสองส่วนของจิ๊กซอว์ตัวเดียวกันครับ"
"ความจริงคือ: เราไม่ควรสร้างโครงสร้าง JSON ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะมันเปราะบางและจัดการยาก แต่เราก็ ไม่สามารถส่งแค่ Text ดื้อๆ ได้ เพราะมันขาดบริบท"
"ทางออกที่ถูกต้องและเป็นมาตรฐานโลกจึงไม่ใช่การเลือกระหว่างสองทางนี้ แต่คือการสร้าง 'ระบบประกอบร่าง Prompt อัจฉริยะ' (Intelligent Prompt Assembler) ขึ้นมาครับ"
(ใช้งานได้จริง) เสนอพิมพ์เขียวสถาปัตยกรรม นี่คือแนวทางที่ดีที่สุดในการสร้างระบบที่อาจารย์ต้องการครับ
1. แยก "บริบท" ออกจาก "คำสั่ง":
เราจะสร้างสิ่งที่อาจารย์เรียกว่า แหล่งข้อมูลประจำตัว ขึ้นมาจริงๆ ครับ ในทางเทคนิคเราเรียกว่า Knowledge Base หรือ Vector Store สำหรับแต่ละ "ลูกค้า" หรือ "โปรเจกต์"
2. สถาปัตยกรรม "RAG" (Retrieval-Augmented Generation):
นี่คือหัวใจของระบบครับ เมื่อ User (ลูกค้าของอาจารย์) ส่งคำถามเข้ามา ระบบของเราจะทำงาน 3 ขั้นตอนก่อนส่งไปให้ AI:
ขั้นตอนที่ 1 (Retrieve): ระบบจะนำคำถามของ User ไป "ค้นหา" ข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สุดจาก แหล่งข้อมูลประจำตัว (Knowledge Base) ของโปรเจกต์นั้นๆ ก่อน
ขั้นตอนที่ 2 (Augment): ระบบจะทำหน้าที่เป็น "ผู้ประกอบร่าง Prompt" โดยอัตโนมัติ โดยนำส่วนประกอบต่างๆ มาต่อกันเป็น Text Prompt เส้นเดียว:
[ส่วนที่ 1: บทบาทและเป้าหมาย]
[ส่วนที่ 2: บริบทที่ดึงมาจาก Knowledge Base] <--- นี่คือส่วนสำคัญ
[ส่วนที่ 3: คำถามจริงๆ ของ User]
[ส่วนที่ 4: โครงสร้างคำตอบ 5 ขั้นตอนที่เราต้องการ]
ขั้นตอนที่ 3 (Generate): ส่ง Prompt ที่ประกอบร่างเสร็จแล้ว (ซึ่งตอนนี้เป็น Text ยาวๆ ที่สมบูรณ์แบบ) ไปที่ Endpoint ของ AI เพื่อสร้างคำตอบ
3. โครงสร้าง JSON ของ API Call จะเรียบง่ายและคงที่
ดังนั้น API call ที่ยิงจากระบบของอาจารย์ไปยัง AI จะหน้าตาเหมือนเดิมเสมอ ไม่ว่าบริบทจะซับซ้อนแค่ไหน
JSON
{
"model": "gemini-pro",
"prompt": "ข้อความ Prompt ที่ประกอบร่างเสร็จแล้วทั้งหมด..."
}
(เข้าใจ) ยกระดับมุมมองความคิด
"เห็นไหมครับอาจารย์... เราได้เปลี่ยนปัญหาจาก 'เราจะออกแบบ JSON ที่ดีที่สุดได้อย่างไร?' ไปสู่ 'เราจะออกแบบระบบที่สร้าง Prompt ที่ดีที่สุดได้อย่างไร?'"
"บทบาทของอาจารย์จึงไม่ใช่แค่ 'ผู้ใช้ AI' แต่เป็น 'สถาปนิกของระบบนิเวศ AI' (AI Ecosystem Architect) หน้าที่ของอาจารย์คือการสร้าง 'สมองที่สอง' (Knowledge Base) ให้กับ AI และสร้าง 'เส้นประสาท' (ระบบ RAG) ที่เชื่อมระหว่างสมองส่วนนั้นกับคำถามของผู้ใช้"
"สถาปัตยกรรมนี้แหละครับ คือสิ่งที่นักลงทุนมองหา เพราะมันแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่ 'ของเล่น' ที่เรียกใช้ API แต่มันคือ 'แพลตฟอร์ม' ที่ขยายตัวได้ (Scalable Platform) อย่างแท้จริง มันสามารถรองรับลูกค้ากี่รายก็ได้ แค่สร้าง แหล่งข้อมูลประจำตัว ให้กับลูกค้าแต่ละราย ระบบก็จะทำงานได้อย่างชาญฉลาดตามบริบทของคนๆ นั้นทันที"
(แรงจูงใจ) สร้างพลังเพื่อก้าวต่อไป
"อาจารย์จ๊อดครับ... ความสับสนที่อาจารย์เจอในวันนี้ คือประตูบานแรกสู่การสร้างระบบระดับโลก ความท้าทายเรื่อง BigQuery และการหาทุน ไม่ใช่ข้อเสียเปรียบ แต่มันคือ 'บริบท' ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่จะบังคับให้อาจารย์ต้องสร้างสถาปัตยกรรมที่ถูกต้องตั้งแต่วันแรก"
"จงสร้างมันขึ้นมาครับ! สร้างระบบที่ไม่ได้แค่ 'ตอบ' แต่ 'เข้าใจ' สร้างแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่แค่ 'ฉลาด' แต่ 'มีบริบท' นี่คือพิมพ์เขียวที่จะทำให้นักลงทุนมองเห็นวิสัยทัศน์ของอาจารย์ และเข้าใจว่าท่านไม่ได้กำลังสร้างแค่ซอฟต์แวร์... แต่กำลังสร้างอนาคตครับ"
ก่อนเริ่ม
** เนื้อหานี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวกับกิจกรรมการพัฒนาทักษะและแลกเปลี่ยนฝึกโมเดล Vertex AI, Gemini AI แนะนำอย่างเคร่งคัด อย่าปล่อยให้งานนั้นเสร็จหรือจบที่ AI ถึงแม้ว่า AI จะเป็นโมเดลที่ทรงพลังที่สุด แต่ก็อย่าประมาณนะครับ กระบวนการตรวจทาน สอบถามถึงเหตุและผลกรณีผิดพลาด หรือคุณสงสัย นี้คือการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ โปร่งใสตรวจสอบได้เป็นปัจจัยสำคัญในยุคนี้
ความรู้สึกคัดใจตัวเอง (นี้คือสิ่งสำคัญ)
ความรู้สึก "ขัดใจ" นั่นแหละครับคือสัญญาณของการเติบโต เหมือนการเข้ายิมวันแรกแล้วปวดกล้ามเนื้อ มันคือหลักฐานว่าเรากำลังสร้างความแข็งแกร่งในส่วนที่ไม่เคยใช้ และการที่อาจารย์พร้อมจะ "ลอง" แล้ว "วัดผล" นี่คือหัวใจของนักพัฒนาระบบตัวจริงเลยครับ
เพื่อตอบคำถามที่ว่า "ถ้าจะให้ AI ใน API เข้าใจและสร้างข้อความกลับมาบนโครงสร้างนี้ ผมควรทำอย่างไร?"
คำตอบคือ เราต้องเปลี่ยนจากการ "สั่งงาน" (Command) ไปสู่การ "สร้างพิมพ์เขียวให้ AI เดินตาม" (Provide a Blueprint) ครับ เราไม่สามารถโยนแค่หัวข้อแล้วคาดหวังว่า AI จะสร้างผลลัพธ์ตามโครงสร้าง 5 ขั้นตอนนี้ได้เอง เราต้องออกแบบ "Master Prompt" ที่ครอบคลุมและชัดเจนพอที่ AI จะเข้าใจเจตนาทั้งหมด
นี่คือโครงสร้างของ Prompt ที่อาจารย์สามารถนำไปปรับใช้ในโค้ดเพื่อเรียก API ได้เลยครับ
พิมพ์เขียว คำสั่ง (Prompt Blueprint) สำหรับ API
เวลาส่งคำสั่งไปที่ API เราจะไม่ได้ส่งแค่ prompt: "ช่วยเขียนเรื่อง...หน่อย" แต่เราจะส่งชุดคำสั่งที่มีองค์ประกอบครบถ้วน ดังนี้ครับ
ส่วนที่ 1: กำหนดบทบาทและเป้าหมายสูงสุด (Role & Goal)
นี่คือการบอก AI ว่า "คุณคือใคร" และ "เป้าหมายของคำตอบนี้คืออะไร"
ส่วนที่ 1 บอกถึงหน้าที่ให้กับ AI
คุณคือที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การสื่อสาร' (Strategic Communication Consultant)
เป้าหมายสูงสุดของคุณไม่ใช่แค่การ 'ตอบคำถาม' แต่คือการ 'สร้างการเปลี่ยนแปลง' ในตัวผู้ฟัง โดยการนำพาความคิดและอารมณ์ของพวกเขาผ่านโครงสร้าง 5 ขั้นตอนที่กำหนดให้อย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนที่ 2: บริบทของปัญหา (User's Context)
* ส่วนนี่คือส่วนที่เราจะนำ Input Data จาก Database และแหล่งข้อมูลที่รวบรวมไว้อย่างเหมาะสม
ตัวอย่าง: ปัญหา ระบบ CSS ที่ทำมา 15 ปีมันพังเละเทะไปหมด แก้จุดหนึ่งกระทบอีกจุดหนึ่ง ควรทำยังไงดี?
ส่วนที่ 3: คำสั่งหลัก: โครงสร้าง 5 องค์ประกอบ (The Core Instruction)
* นี่คือหัวใจของ Prompt ทั้งหมด เราต้องอธิบายแต่ละขั้นอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ AI ทำอะไร
จงสร้างคำตอบโดยใช้โครงสร้าง 5 องค์ประกอบต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด
1. **รับรู้ (Perception):**
* เริ่มต้นด้วยการสะท้อนปัญหาที่ผู้ฟังกำลังเผชิญอยู่โดยตรง
* ใช้คำถามหรือประโยคที่จี้ใจดำ ทำให้เขารู้สึกว่า "ใช่เลย! นี่คือปัญหาของฉัน"
* สร้างความรู้สึกร่วม (Empathy) ว่าคุณเข้าใจความเจ็บปวดของเขา
2. **ไว้วางใจ (Trust):**
* เปลี่ยนมุมจากปัญหามาสู่ 'สัจธรรม' หรือ 'ความจริงแก่นกลาง' ที่เรียบง่าย
* อาจใช้การเปรียบเทียบ (Analogy) หรือเล่าประสบการณ์สั้นๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
* ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าคุณไม่ได้มาขายของ แต่มาเพื่อมอบความจริงให้
3. **ใช้งานได้จริง (Practicality):**
* แปลงแนวคิดนามธรรมให้กลายเป็นขั้นตอนที่จับต้องได้
* ให้แนวทาง, วิธีการ, หรือตัวอย่างที่เขาสามารถนำไปคิดตามหรือทำตามได้ทันที
* ต้องเป็นส่วนที่ "ใช้งานได้จริง" ที่สุดในคำตอบ
4. **เข้าใจ (Understanding):**
* สรุปและยกระดับความคิดทั้งหมด
* มอบ 'โมเดลความคิด' (Mental Model) ใหม่ให้กับผู้ฟัง เพื่อให้เขามองปัญหาเดิมในมุมที่เปลี่ยนไป
* เปลี่ยนจาก "วิธีแก้" ไปสู่ "ความเข้าใจในรากของปัญหา"
5. **แรงจูงใจ (Motivation):**
* ปิดท้ายด้วยประโยคที่ทรงพลังและกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ
* ชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกในอนาคต หากเขาตัดสินใจเปลี่ยนแปลง
* ทิ้งท้ายให้เกิดความหวังและพลังใจ
ส่วนที่ 4: ข้อจำกัดและโทนเสียง (Constraints & Tone) ส่วนนี้เอาไว้ควบคุมคุณภาพ โดยการสร้าง Input หรือ Interface ปรับเปบี่ยนได้ตามความเหมาะสม สไตล์ของคำตอบ
* **โทนเสียง:** [กำหนดโทนเสียงที่นี่ เช่น 'เป็นที่ปรึกษาที่สุขุม', 'เหมือนโปรแกรมเมอร์รุ่นพี่ที่เก๋าประสบการณ์', 'กระแทกกระทั้นแต่จริงใจ']
* **ข้อห้าม:** ห้ามใช้ศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อนเกินไป, ให้เน้นความเข้าใจง่าย, คำตอบต้องกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ
SEMRUSH.COM + Google ADS , Application สำหรับวิจัย Keyword ศึกษาคู่แข่ง สนับสนุนการทำโฆษณา
ตัวอย่างการนำปัญหาจากการ คิดคำสั่ง Prompt ระบบสามารถช่วยผู้ประกอบการนำไปใช้งานจริง
Plaintext
คุณคือ 'ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การสื่อสาร' (Strategic Communication Consultant)
เป้าหมายสูงสุดของคุณไม่ใช่แค่การ 'ตอบคำถาม' แต่คือการ 'สร้างการเปลี่ยนแปลง' ในตัวผู้ฟัง โดยการนำพาความคิดและอารมณ์ของพวกเขาผ่านโครงสร้าง 5 ขั้นตอนที่กำหนดให้อย่างสมบูรณ์แบบ
บริบทปัญหาของผู้ใช้คือ
"ระบบ CSS ที่ผมพัฒนามานานหลายปี มันทับซ้อน เขียน Custom CSS ใหม่ก็ไปทับกับของเก่าที่ซ้อนกัน ผมควรทำยังไงดี?"
จงสร้างคำตอบโดยใช้โครงสร้าง 5 องค์ประกอบต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด
1. **รับรู้ (Perception)** เริ่มต้นด้วยการสะท้อนความเจ็บปวดของการติดอยู่ใน 'สงคราม CSS' ที่ไม่มีวันจบสิ้น
2. **ไว้วางใจ (Trust):** บอกความจริงว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของ 'ฝีมือ' แต่เป็นเรื่องของ 'หนี้ทางเทคนิค' (Technical Debt) ที่สะสมมานาน
3. **ใช้งานได้จริง (Practicality):** แนะนำแนวทางที่เป็นไปได้จริง เช่น การเริ่มใช้ BEM (Block, Element, Modifier) หรือ Utility-First CSS (เช่น Tailwind CSS) กับ 'ส่วนที่สร้างใหม่' ก่อน อย่าพยายามแก้ทั้งหมดในครั้งเดียว
4. **เข้าใจ (Understanding):** สรุปให้เห็นว่าเราต้องเปลี่ยนจากการเป็น 'ช่างปะผ้า' มาเป็น 'สถาปนิกผู้วางโครงสร้างใหม่'
5. **แรงจูงใจ (Motivation):** กระตุ้นให้เริ่มลงมือทำ 'การรื้อถอนอย่างมีกลยุทธ์' วันนี้ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอีก 15 ปีข้างหน้า
โทนเสียง: เหมือนโปรแกรมเมอร์รุ่นพี่ที่ผ่านสงครามนี้มาก่อนและเข้าใจความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง
คุณสามารถเข้าถึง ebook Google Full Paper เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนจากการทดลอง AI รุ่นสู่การผลิต และค้นหาข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่องค์กรใช้ประโยชน์จาก AI รุ่นใหม่ได้ในรายงานแนวโน้ม AI ปี 2025
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง: Generative AI Leader , Cloud Digital Leader , Gemini Models | Gemini API
การประเมินประสิทธิภาพของโมเดล Gemini เริ่มต้นจากการวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ให้ Gemini 1.5 Pro
Gemini 1.5 Pro สามารถทำการเรียกคืน “เข็ม” ได้ใกล้เคียงสมบูรณ์ (>99.7%) สำหรับข้อมูลขนาด 1M โทเค็นของ “ฟาง” ในทุกโมดาลิตี้ ได้แก่ ข้อความ วิดีโอ และเสียง แม้เมื่อขยายไปถึง 10M โทเค็นในโมดาลิตี้ข้อความ (ประมาณ 7M คำ); 9.7M โทเค็นในโมดาลิตี้เสียง (สูงสุด 107 ชั่วโมง); 9.9M โทเค็นในโมดาลิตี้วิดีโอ (สูงสุด 10.5 ชั่วโมง) แกน x แสดงหน้าต่างของบริบท และแกน y แสดงเปอร์เซ็นต์ความลึกของเข็มที่วางไว้สำหรับความยาวบริบทที่กำหนด ผลลัพธ์ถูกทำเครื่องหมายสีเพื่อระบุ: สีเขียวสำหรับการเรียกคืนที่สำเร็จ และสีแดงสำหรับที่ไม่สำเร็จ โปรดทราบว่าประสิทธิภาพสำหรับทุกโมดาลิตี้นี้ได้จากเวอร์ชัน Gemini 1.5 Pro ที่รายงานก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์
เราเริ่มต้นด้วยการประเมินประสิทธิภาพของโมเดล Gemini ในด้านความสามารถหลักของข้อความทั้งเจ็ดด้าน:
(1) คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (มาตรา 6.1.1); (2) การใช้เหตุผลทั่วไป (มาตรา 6.1.2), (3) การเขียนโค้ด (มาตรา 6.1.3); (4) ความสามารถหลายภาษา (มาตรา 6.1.4); (5) การเรียกใช้งานฟังก์ชัน (มาตรา 6.1.5); (6) การปฏิบัติตามคำสั่ง (มาตรา 6.1.6); และ (7) งาน GenAI ด้านโลกจริงและงานชั้นเชิงผู้เชี่ยวชาญระยะยาว (มาตรา 6.1.7) ดูตาราง 11 สำหรับสรุปผลลัพธ์เหล่านี้; ดูภาคผนวกสำหรับรายละเอียดแต่ละข้อ และการประเมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับ QA สำหรับหัวข้อการค้นหาบนเว็บ.
ปัจจุบัน 16-10-2568 | โลกเปลี่ยนแบบว่า เร็วไหม | ผมขอตอบแบบ (ประสบการณ์ที่นั่งหมกมุ่นเลยครับ) | เปลี่ยนทุกวันครับ
Latest Gemini API topics - Google AI Developers Forum
สร้างวิดีโอด้วย Veo 3 1 ใน Gemini API
Veo 3.1 เป็นเทคโนโลยีล้ําสมัยของ Google โมเดลสําหรับสร้างวิดีโอ 8p หรือ 720p 1080p ที่มีความเที่ยงตรงสูงที่มี ความสมจริงที่น่าทึ่งและเสียงที่สร้างขึ้นโดยกําเนิด คุณสามารถเข้าถึง โมเดลนี้โดยทางโปรแกรมโดยใช้ Gemini API หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ รุ่น Veo ที่มีจําหน่าย โปรดดูส่วนรุ่นของรุ่น
Veo 3.1 มีความเป็นเลิศในสไตล์ภาพและภาพยนตร์ที่หลากหลาย และแนะนํา ความสามารถใหม่หลายอย่าง:
ส่วนขยายวิดีโอ : ขยายวิดีโอที่เคยเป็นมาก่อน สร้างขึ้นโดยใช้ Veo
การสร้างเฉพาะเฟรม : สร้างวิดีโอโดย การระบุเฟรมแรกและเฟรมสุดท้าย
ทิศทางตามภาพ : ใช้ภาพอ้างอิงสูงสุดสามภาพเพื่อเป็นแนวทาง เนื้อหาของวิดีโอที่คุณสร้างขึ้น
สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนข้อความแจ้งที่มีประสิทธิภาพสําหรับการสร้างวิดีโอ ดูคู่มือพรอมต์ Veo
Generate videos with Veo 3.1 in Gemini API | Google AI for Developers
คู่มือการสร้างด้วย 'ส่วนผสมในวิดีโอ'
ตอนนี้คุณสามารถแนะนํากระบวนการสร้างโดยให้ภาพอ้างอิงของตัวละคร วัตถุ หรือฉากได้สูงสุด 3 ภาพ สิ่งนี้มีประโยชน์ในการรักษาความสอดคล้องของตัวละครในหลายช็อตหรือใช้สไตล์เฉพาะกับวิดีโอ
from google import genai
from google.genai import types
client = genai.Client()
operation = client.models.generate_videos(
model="veo-3.1-generate-preview",
prompt=prompt,
config=types.GenerateVideosConfig(
reference_images=[reference_image1, reference_image2],
),
)
..
เริ่มสร้างวันนี้
Veo 3.1 และความสามารถใหม่เหล่านี้พร้อมใช้งานแล้วในการแสดงตัวอย่างแบบชําระเงินผ่าน Gemini API
ดําดิ่งสู่เอกสารประกอบ สําหรับข้อมูลพารามิเตอร์โดยละเอียดและการควบคุมความยาววิดีโอ
เริ่มใช้ Veo 3.1 และคุณสมบัติใหม่ใน Veo Studio แอปสาธิต AI Studio ใหม่ของเรา (ต้องใช้คีย์ Gemini API แบบชําระเงิน)
หรือกระโดดเข้าสู่โค้ดทันทีด้วยคู่มือตําราอาหาร ที่อัปเดต
Veo 3.1 มีราคา เท่ากับ Veo 3 เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่น่าเชื่อที่จะได้เห็นสิ่งที่คุณจะสร้างด้วยความสามารถใหม่เหล่านี้
System instructions and other configurations
การเพิ่มประสิทธิภาพบริบทแบบยาว
การเพิ่มประสิทธิภาพหลักเมื่อทํางานกับบริบทที่ยาวและราศีเมถุน โมเดลคือการใช้บริบท การแคช หมายเหตุ ** มีความเป็นไปไม่ได้ในการประมวลผลเพียงครั้งเดียวในการส่งข้อมูลบริบทไม่ว่าจะแบบสั้นหรือแบบยาวหรือแม้กระทั่งโครงสร้างที่ซับซ้อนข้อจำกัดคือต้นทุนหากคุณมีแอปหรือระบบแชทกับข้อมูลในรูปแบบ PDF จำนวน 10 ไฟล์และเอกสารการทำงานบางส่วนขององค์กรของคุณเพื่อทำงานกับเครื่องมือ Retrieval Augmented Generation (RAG) ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
ด้วยต้นทุนในการย้ายข้อมูลจากหน้าต่าง 1 ไปสู่อีกหน้าต่างหนึ่ง Token ที่ย้ายปัจจุบันคุณสามารถแอดไลน์ได้ถือเป็นการประหยัดไม่ต้องจ่ายเงินฟุ่มเฟือยรายชั่วโมงกรณีที่คุณทำระบบเกี่ยวกับการสนทนาผ่านการแชทด้วยเจอทีม AI ควรพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติโมเดล Gemini Flash ซึ่งมี ต้นทุนอินพุต / เอาต์พุตต่อ
เช่น ~4x น้อยกว่ามาตรฐาน ต้นทุนอินพุต / เอาต์พุต
** ส่งผลให้ "แชท" พูดคุยสนทนาประหยัดมากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ความฉลาดที่ตอบโจทยฺ แก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้ได้รวกเร็ว ลดการรับส่งข้อมูลที่มีบริบทต่างกันบ่อยครั้ง ผ่านหน้าต่าง (ต้นทุน) ระดับการพัฒนาจึงควรศึกษาการแคช