Digital Marketing เสริมประสิทธิภาพเพื่อเป้าหมาย ด้วยเทคนิคการตลาดออนไลน์
รูปแบบการเรียนรู้
องค์ประกอบการตลาดออนไลน์ด้วยความเข้าใจ เทคนิคการลงมือปฏิบัติ มีเนื้อหาดังนี้
รู้และเข้าใจหลักการทำงาน การเข้าถึงผู้คน บนตลาดออนไลน์
เข้าใจคุณสมบัติของแพลตฟอร์มที่มีมากมายในโลกออนไลน์และสามารถเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เข้าใจหลักการทำงานและความสำคัญ สำหรับนำเสนอธุรกิจ และสนับสนุนการขายออนไลน์
เข้าใจวิธีใช้งานเครื่องมือสร้างชิ้นงานที่ทำให้ธุรกิจของคุณ มีข้อได้เปรียบในโลกออนไลน์
เข้าใจวิธีการวิเคราะห์ ประเมินคุณภาพการสร้างแคมเปญในแต่ละวัตถุประสงค์
เข้าใจวิธีการตีความ สรุปผลข้อมูลจากสถิติ เพื่อนำมาปรับปรุงชิ้นงานหรือตั้งค่าโฆษณาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า
เข้าใจบริบท ของสถานการณ์และพร้อมปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีด้วยแบบแผนที่เป็นไปได้
อย่าหยุดเรียนรู้และค้นหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงธุรกิจอยู่เสมอ
1. รู้และเข้าใจหลักการทำงาน การเข้าถึงผู้คน บนตลาดออนไลน์
องค์ประกอบการตลาดออนไลน์ก็เหมือนกับส่วนประกอบต่างๆ ที่นำมารวมกันเพื่อสร้างบ้านหลังใหญ่ นั่นคือการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่งบนโลกออนไลน์ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายปัจจัย เช่น
การวางแผน กำหนดเป้าหมาย, กลุ่มเป้าหมาย, และงบประมาณ
การสร้างแบรนด์ สร้างภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับแบรนด์
การสร้างคอนเทนต์ สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย
ช่องทางการตลาด เลือกช่องทางที่เหมาะสม เช่น Social Media, Website SEO, Websites e-Commerce
2. เข้าใจคุณสมบัติของแพลตฟอร์มที่มีมากมายในโลกออนไลน์และสามารถเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกช่องทางการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายและกลุ่มลูกค้าของแต่ละธุรกิจ การทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละช่องทางจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และเมื่อนำช่องทางต่างๆ มาใช้งานร่วมกัน ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดได้มากยิ่งขึ้น
1. เว็บไซต์ (Website)
ข้อดี
เป็นหน้าร้านออนไลน์หลักของธุรกิจ
ควบคุมเนื้อหาได้ทั้งหมด
สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ
สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
ข้อเสีย
ต้องใช้เวลาและงบประมาณในการสร้างและบำรุงรักษา
การดึงดูดผู้เข้าชมใหม่ค่อนข้างยากหากไม่มีการทำการตลาดอื่นๆ ร่วมด้วย
2. Facebook
ข้อดี
มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก
สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้ง่าย
มีเครื่องมือโฆษณาที่หลากหลาย
สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเจาะจง
ข้อเสีย
อัลกอริทึมของ Facebook เปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้การเข้าถึงลูกค้ายากขึ้น
การแข่งขันสูง
3. TikTok
ข้อดี
เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรง มีผู้ใช้งานกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่จำนวนมาก
เนื้อหาเป็นวิดีโอสั้นๆ น่าสนใจ
สามารถสร้างไวรัลได้ง่าย
ข้อเสีย
เหมาะกับสินค้าหรือบริการบางประเภท
การวัดผลอาจทำได้ยากกว่าช่องทางอื่นๆ
4. Lazada
ข้อดี
เป็นแพลตฟอร์ม E-commerce ขนาดใหญ่ มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
มีระบบการชำระเงินและการจัดส่งที่สะดวก
สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อเสีย
การแข่งขันสูงมาก
ค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง
ตัวอย่างการใช้งานร่วมกัน
ร้านค้าเสื้อผ้า
สร้างเว็บไซต์เป็นหน้าร้านหลัก ใช้ Facebook ในการสร้างแบรนด์และโปรโมตสินค้าใหม่ๆ ใช้ TikTok สร้างคลิปวิดีโอสั้นๆ แสดงแฟชั่น และใช้ Lazada สำหรับขายสินค้า
ธุรกิจอาหาร
สร้างเว็บไซต์เพื่อนำเสนอเมนูและข้อมูลร้านค้า ใช้ Facebook ในการสร้างโปรโมชั่นและรับออร์เดอร์ ใช้ Instagram แสดงภาพอาหารที่น่ารับประทาน และใช้ LINE OA ในการตอบคำถามลูกค้า
ธุรกิจบริการ
สร้างเว็บไซต์เพื่อให้ข้อมูลบริการ ใช้ LinkedIn ในการสร้างเครือข่ายกับธุรกิจอื่นๆ ใช้ Facebook และ Instagram ในการโปรโมตกิจกรรมต่างๆ
ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์
กลุ่มเป้าหมาย ช่องทางใดที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้งานมากที่สุด
งบประมาณ มีงบประมาณเท่าไหร่ในการทำการตลาด
ทรัพยากร มีบุคลากรที่สามารถดูแลช่องทางต่างๆ ได้เพียงพอหรือไม่
เป้าหมายทางธุรกิจ ต้องการบรรลุเป้าหมายอะไร เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างแบรนด์ หรือสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
คำแนะนำเพิ่มเติม การทำการตลาดออนไลน์ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้เพียงช่องทางเดียว การนำช่องทางต่างๆ มาผสมผสานกันจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น และสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ช่องทางเดียว
3. เข้าใจหลักการทำงานและความสำคัญ สำหรับนำเสนอธุรกิจ และสนับสนุนการขายออนไลน์
เว็บไซต์ (Website)
เว็บไซต์เปรียบเสมือนหน้าร้านบนโลกออนไลน์ เป็นพื้นที่ที่คุณสามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการของคุณได้อย่างครอบคลุม มีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั่วโลก
หลักการทำงาน
โดเมน ชื่อที่ใช้ในการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ เช่น https://banrukcom.net
โฮสติ้ง พื้นที่เก็บข้อมูลของเว็บไซต์ของคุณบนเซิร์ฟเวอร์
เนื้อหา ข้อมูลต่างๆ ที่คุณต้องการนำเสนอบนเว็บไซต์ เช่น ข้อมูลสินค้า บริการ เกี่ยวกับเรา ติดต่อ
การออกแบบ รูปลักษณ์และโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ดึงดูดลูกค้า
SEO การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนหน้าผลการค้นหาของ Google เพื่อให้ลูกค้าค้นหาคุณเจอ
ความสำคัญของเว็บไซต์
สร้างความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเป็นมืออาชีพของธุรกิจ
ควบคุมเนื้อหาได้เอง คุณสามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา
เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ลูกค้าสามารถเข้าชมและซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา
เพิ่มช่องทางการขาย เป็นช่องทางการขายเพิ่มเติมนอกเหนือจากร้านค้าจริง
รวบรวมข้อมูลลูกค้า สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าเพื่อนำไปปรับปรุงธุรกิจ
เฟซบุ๊ก (Facebook)
เฟซบุ๊กเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นช่องทางที่คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง
หลักการทำงาน
ความสำคัญของเฟซบุ๊ก
เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเจาะจง
สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านการตอบข้อความและการมีส่วนร่วม
โปรโมตสินค้าและบริการได้รวดเร็ว สามารถเผยแพร่ข้อมูลไปยังลูกค้าได้ทันที
วิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
การใช้เว็บไซต์และเฟซบุ๊กร่วมกัน
การใช้เว็บไซต์และเฟซบุ๊กร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดออนไลน์ของคุณได้มากยิ่งขึ้น เช่น
นำลิงก์เว็บไซต์ไปใส่ในเพจเฟซบุ๊ก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้
ใช้เฟซบุ๊กในการโปรโมตเว็บไซต์ เช่น โปรโมตบทความใหม่ๆ หรือโปรโมชั่นพิเศษ
สร้างแคมเปญโฆษณาบนเฟซบุ๊ก เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์
ตัวอย่างการใช้เว็บไซต์และเฟซบุ๊กร่วมกัน
ร้านอาหาร
สร้างเว็บไซต์เพื่อนำเสนอเมนูและข้อมูลร้านค้า ใช้เฟซบุ๊กในการโปรโมตเมนูใหม่ๆ จัดกิจกรรมต่างๆ และรับออร์เดอร์
ร้านค้าออนไลน์
สร้างเว็บไซต์เป็นหน้าร้านหลัก ใช้เฟซบุ๊กในการสร้างแบรนด์ สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และโปรโมตสินค้าใหม่ๆ
4. เข้าใจวิธีใช้งานเครื่องมือสร้างชิ้นงานที่ทำให้ธุรกิจของคุณ มีข้อได้เปรียบในโลกออนไลน์
แผนการจัดทำสื่อดิจิทัลที่ครอบคลุมควรประกอบด้วยองค์ประกอบหลักดังนี้
1. การวางแผนที่ชัดเจน
กำหนดเป้าหมาย ต้องการสื่อสารอะไรไปยังกลุ่มเป้าหมายใด
วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
เลือกช่องทางสื่อสารที่เหมาะสม เช่น Social Media, Website, Email
สร้างสรรค์เนื้อหาที่น่าสนใจและตรงใจกลุ่มเป้าหมายกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ
Flowchart สร้างแผนผังงานแสดงลำดับขั้นตอนการทำงานแต่ละขั้นตอน
กำหนดบทบาท กำหนดความรับผิดชอบของแต่ละคนในทีม
กำหนดระยะเวลา กำหนดกรอบเวลาในการทำงานแต่ละขั้นตอน
มีการตรวจสอบคุณภาพ ตรวจสอบความถูกต้องและความสอดคล้องของงานก่อนเผยแพร่
2. การวัดผลและปรับปรุง
กำหนดตัวชี้วัดที่สำคัญ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, อัตราการคลิก, การมีส่วนร่วม
วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวัดประสิทธิภาพของแคมเปญ
ปรับปรุงกลยุทธ์ตามผลลัพธ์ที่ได้
3. ความยืดหยุ่นและการเรียนรู้
เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง มีแผนสำรองและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
เรียนรู้จากข้อมูล นำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาปรับปรุงการทำงานในครั้งต่อไป
ตัวอย่าง Flowchart ง่ายๆ สำหรับการกำหนดกลยุทธ์และจัดทำสื่อดิจิทัล เพื่อสร้างความสำเร็จการโฆษณา
คำอธิบายเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Live สด ในวันเสาร์ ที่ 10 สิงหาคม 2567 เวลา 15.00 น.
5. เข้าใจวิธีการวิเคราะห์ ประเมินคุณภาพการสร้างแคมเปญในแต่ละวัตถุประสงค์
การวิเคราะห์ประเมินคุณภาพแคมเปญโฆษณาเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ทำการตลาดสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างต่อเนื่อง ทั้ง Meta Facebook และ Google Ads ต่างมีเครื่องมือและเมตริกที่หลากหลายไว้ให้สำหรับการวิเคราะห์ แต่ก็มีความแตกต่างกันในบางจุด
เครื่องมือวิเคราะห์ Meta Ads Manager มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครอบคลุม สามารถดูข้อมูลเชิงลึกของแคมเปญได้หลากหลายมิติ เช่น จำนวนการเข้าถึง อัตราการคลิกผ่าน (CTR) อัตราการแปลง ต้นทุนต่อผลลัพธ์ (CPA) และอื่นๆ
เมตริกสำคัญ
Reach จำนวนคนที่เห็นโฆษณา
Impressions จำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
Clicks จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณา
Conversions จำนวนการดำเนินการที่ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครรับข่าวสาร
Cost Per Conversion ต้นทุนเฉลี่ยต่อการเกิด Conversion หนึ่งครั้ง
การวิเคราะห์
Audience Insights วิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
A/B Testing ทดสอบโฆษณาหลายๆ เวอร์ชันเพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด
Funnel Analysis วิเคราะห์ขั้นตอนต่างๆ ที่ผู้ใช้ทำตั้งแต่เห็นโฆษณาจนถึงการทำ Conversion
จุดเด่น
มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและใช้งานง่าย
สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด
มีฟีเจอร์ A/B Testing ที่ช่วยให้ปรับปรุงโฆษณาได้อย่างรวดเร็ว
Google Ads
เครื่องมือวิเคราะห์ Google Ads มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลัง สามารถดูข้อมูลเชิงลึกของแคมเปญได้หลากหลายมิติ เช่น อัตราการคลิกผ่าน (CTR) อัตราการแปลง ค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) และอื่นๆ
เมตริกสำคัญ
Clicks จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณา
Impressions จำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
Click-through Rate (CTR) อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
Conversion Rate อัตราส่วนระหว่างจำนวน Conversion กับจำนวนคลิก
Cost Per Click (CPC) ต้นทุนเฉลี่ยต่อคลิกหนึ่งครั้ง
การวิเคราะห์
Keyword Planner วางแผนคำหลักสำหรับการทำโฆษณา
Audience Insights วิเคราะห์พฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้
Conversion Tracking ติดตามการแปลงที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์
จุดเด่น
สรุปความแตกต่าง
คุณสมบัติ
Meta Facebook
Google Ads
จุดเด่น
เน้นการสร้างแบรนด์และสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
เน้นการดึงดูดลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูล
กลุ่มเป้าหมาย
กว้างขวาง สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียด
เจาะจงไปยังผู้ที่กำลังค้นหาสินค้าหรือบริการ
เครื่องมือวิเคราะห์
ครอบคลุมและใช้งานง่าย
ทรงพลังและเน้นการวัดผลที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา
เมตริกสำคัญ
Reach, Impressions, Conversions, Cost Per Conversion
Clicks, CTR, Conversion Rate, CPC
การเลือกใช้เครื่องมือใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแคมเปญ
หากต้องการสร้างแบรนด์และเพิ่มการรับรู้ Meta Facebook เป็นตัวเลือกที่ดี
หากต้องการเพิ่มยอดขายและดึงดูดลูกค้าใหม่ Google Ads เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
หากต้องการทำทั้งสองอย่าง สามารถใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกัน
เคล็ดลับในการวิเคราะห์แคมเปญ [1]
กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ก่อนเริ่มแคมเปญ ควรกำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้ชัดเจน เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างแบรนด์ หรือเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม
เลือกเมตริกที่สำคัญ เลือกเมตริกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญ
วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทดลองและปรับปรุง อย่ากลัวที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ และปรับปรุงแคมเปญอยู่เสมอ
คำแนะนำเพิ่มเติม
Meta Facebook และ Google Ads ต่างมีเครื่องมือและฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้ทำการตลาดสามารถวิเคราะห์ประเมินผลแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้เครื่องมือใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และงบประมาณของแต่ละธุรกิจ
6. เข้าใจวิธีการตีความ ผลสรุปข้อมูลจากสถิติเมทริกต์ เพื่อนำมาปรับปรุงชิ้นงานหรือตั้งค่าโฆษณาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า
การทำความเข้าใจข้อมูลสถิติจากแพลตฟอร์มโฆษณาอย่าง Meta Facebook และ Google Ads เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาให้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ การสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือการเพิ่มยอดขาย
เมตริกส์ที่สำคัญและวิธีตีความ
ทั้ง Meta Facebook และ Google Ads มีเมตริกส์ที่สำคัญในการวัดผลลัพธ์ของแคมเปญที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป
Meta Facebook
Reach จำนวนคนที่เห็นโฆษณาของคุณ
Impressions จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกแสดง
Clicks จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาของคุณ
CTR (Click-Through Rate) อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
Conversions จำนวนการดำเนินการที่ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครรับข่าวสาร
Cost Per Conversion ต้นทุนเฉลี่ยต่อการเกิด Conversion หนึ่งครั้ง
การตีความ
CTR ต่ำ อาจเกิดจากข้อความโฆษณาไม่น่าสนใจ ภาพไม่ดึงดูด หรือกลุ่มเป้าหมายไม่ตรง
Conversion ต่ำ หน้า Landing Page อาจไม่ดึงดูด หรือขั้นตอนการซื้อสินค้าซับซ้อนเกินไป
CPA สูง ต้นทุนในการได้ลูกค้าหนึ่งรายสูงเกินไป อาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำโฆษณา
Google Ads
Clicks: จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาของคุณ
Impressions: จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกแสดง
CTR: อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
Conversion Rate: อัตราส่วนระหว่างจำนวน Conversion กับจำนวนคลิก
Cost Per Click (CPC): ต้นทุนเฉลี่ยต่อคลิกหนึ่งครั้ง
การตีความ
CTR ต่ำ คีย์เวิร์ดที่เลือกอาจไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ หรือข้อความโฆษณาไม่น่าสนใจ
Conversion Rate ต่ำ หน้า Landing Page อาจไม่ตรงกับเนื้อหาของโฆษณา หรือขั้นตอนการซื้อสินค้าซับซ้อนเกินไป
CPC สูง คำหลักที่ใช้ในการประมูลมีการแข่งขันสูง หรือคุณภาพของโฆษณาและหน้า Landing Page ยังไม่ดีพอ
สรุปความแตกต่างและการนำไปปรับใช้
คุณสมบัติ
Meta Facebook
Google Ads
จุดเด่น
เน้นการสร้างแบรนด์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้าง
เน้นการดึงดูดลูกค้าที่กำลังค้นหา
เมตริกสำคัญ
Reach, Impressions, Conversions
Clicks, CTR, Conversion Rate, CPC
การปรับปรุง
ปรับเปลี่ยนภาพ, ข้อความ, กลุ่มเป้าหมาย
ปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ด, ข้อความโฆษณา, หน้า Landing Page
วิธีการปรับปรุงแคมเปญ
วิเคราะห์ข้อมูล ศึกษาข้อมูลเมตริกส์อย่างละเอียด เพื่อหาจุดแข็งจุดอ่อนของแคมเปญ
ตั้งสมมติฐาน กำหนดสาเหตุที่ทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้น
ทดลอง เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ในแคมเปญ เช่น ภาพ, ข้อความ, กลุ่มเป้าหมาย, คีย์เวิร์ด
วัดผล ตรวจสอบผลลัพธ์หลังจากการเปลี่ยนแปลง
ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนแคมเปญให้ดีขึ้นตามผลลัพธ์ที่ได้
ตัวอย่างการปรับปรุง
หาก CTR ต่ำ เปลี่ยนภาพให้ดึงดูดมากขึ้น, ปรับข้อความให้สั้นกระชับและชัดเจน, เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย
หาก Conversion Rate ต่ำ ปรับปรุงหน้า Landing Page ให้ดูดีขึ้น, ทำให้ขั้นตอนการซื้อสินค้าง่ายขึ้น, เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
หาก CPA สูง ลดราคาสินค้า, เพิ่มโปรโมชั่น, เปลี่ยนกลยุทธ์การประมูล
เคล็ดลับเพิ่มเติม
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ นอกจากเครื่องมือวิเคราะห์ภายในแพลตฟอร์มแล้ว ยังมีเครื่องมืออื่นๆ เช่น Google Analytics ที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ทดสอบ A/B Testing ทดลองใช้โฆษณาหลายๆ เวอร์ชัน เพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด
ติดตามคู่แข่ง ศึกษาแคมเปญของคู่แข่งเพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา
การทำความเข้าใจเมตริกส์ต่างๆ และนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. เข้าใจบริบทของสถานการณ์และพร้อมปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีด้วยแบบแผนที่เป็นไปได้
การทำความเข้าใจบริบทของสถานการณ์และปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใน Meta Facebook และ Google Ads เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ
เกณฑ์ชี้วัดบนตัวจัดการโฆษณา เทคโนโลยีใน Meta Facebook
การเข้าใจบริบทของสถานการณ์
เป้าหมายทางธุรกิจ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างแบรนด์ เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม
กลุ่มเป้าหมาย เข้าใจพฤติกรรม ความสนใจ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
งบประมาณ กำหนดงบประมาณที่เหมาะสมกับแคมเปญ
คู่แข่ง ศึกษาคู่แข่งและกลยุทธ์การทำการตลาดของคู่แข่ง
เทรนด์ ติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในวงการการตลาดดิจิทัล
การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีคืออะไร ? ........... ก็เหมือนกับการเรียนรู้การขับรถใหม่ๆ ค่ะ แรกๆ อาจจะงงๆ แต่เมื่อเราฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะเชี่ยวชาญเองค่ะ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการขายออนไลน์ก็เช่นกัน อาจจะดูซับซ้อนในตอนแรก แต่เมื่อเราเริ่มเรียนรู้และฝึกฝน ก็จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ค่ะ
เมื่อเข้าใจบริบทของสถานการณ์แล้ว เราสามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใน Meta Facebook และ Google Ads ได้ดังนี้
การศึกษาและใช้งานเครื่องมือ แนวทางการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญ
ปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย
Facebook ใช้เครื่องมือ Audience Insights เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย และสร้างกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงมากขึ้น
Google Ads ใช้ Keyword Planner เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย และสร้างกลุ่มโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้
ปรับเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณา
สร้างความหลากหลาย สร้างโฆษณาหลายรูปแบบ ทั้งภาพ วิดีโอ และข้อความ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้
ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่สื่อสารได้ง่ายและตรงไปตรงมา
เน้นประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ บอกให้ผู้บริโภคทราบว่าสินค้าหรือบริการของคุณจะช่วยแก้ปัญหาอะไรให้พวกเขาได้
ปรับเปลี่ยนหน้า Landing Page
ออกแบบให้ตรงกับโฆษณา หน้า Landing Page ควรสอดคล้องกับเนื้อหาของโฆษณา
ลดขั้นตอนการซื้อ ทำให้ขั้นตอนการซื้อสินค้าหรือบริการง่ายขึ้น
เพิ่มความน่าเชื่อถือ แสดงรีวิวจากลูกค้า หรือใบรับรองต่างๆ
ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การประมูล
Google Ads เลือกกลยุทธ์การประมูลที่เหมาะสมกับเป้าหมาย เช่น Maximize Clicks, Target CPA
Facebook เลือกกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพที่เหมาะสม เช่น Reach and Frequency, Conversions
ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
ใช้ AI ในการสร้างโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้
Machine Learning ใช้ Machine Learning เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโดยอัตโนมัติ
Automation ใช้ Automation เพื่อลดงานที่ต้องทำซ้ำๆ
ตัวอย่างการปรับเปลี่ยน
หาก CTR ต่ำ ปรับเปลี่ยนภาพ, ข้อความ, และกลุ่มเป้าหมาย
หาก Conversion Rate ต่ำ ปรับปรุงหน้า Landing Page, ลดขั้นตอนการซื้อ
หาก CPA สูง ลดราคาสินค้า, เพิ่มโปรโมชั่น, เปลี่ยนกลยุทธ์การประมูล
แบบแผนที่เป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยน
ทดลอง A/B Testing ทดลองใช้โฆษณาหลายๆ เวอร์ชันเพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด
วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบข้อมูลเมตริกส์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในวงการการตลาดดิจิทัล เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจ
คำแนะนำเพิ่มเติม
1) การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใน Meta Facebook และ Google Ads ต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและการทดลองอย่างต่อเนื่อง
2) การเข้าใจบริบท ของสถานการณ์และการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. อย่าหยุดเรียนรู้และค้นหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงธุรกิจอยู่เสมอ
แหล่งเรียนรู้เทคโนโลยีการตลาดดิจิทัลจาก Google เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และมีเครื่องมือและแพลตฟอร์มมากมายที่สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับการตลาดดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังมีแหล่งเรียนรู้อื่นๆ อีกมากมายที่เปิดสอนหลักสูตรและเนื้อหาที่หลากหลาย
Click เปิดอ่านเนื้อหาต่อไปนี้
เคล็ดลับในการวิเคราะห์แคมเปญ เพิ่มจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ คลินิกกายภาพบำบัดยกตัวอย่าง แคมเปญเพิ่มจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ คลินิกกายภาพบำบัด
กำหนดเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย
งบประมาณและแพลตฟอร์ม
งบประมาณ: 3,000 บาท/แพลตฟอร์ม (Google Ads และ Facebook Ads)
แพลตฟอร์ม Google Ads และ Facebook Ads
ชิ้นงานโฆษณาที่ควรมี
ข้อความสั้น กระชับ เข้าใจง่าย
เน้นประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ เช่น "บรรเทาอาการปวดหลังเรื้อรัง", "ฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัด"
ภาพ หรือ วิดีโอ
แสดงภาพนักกายภาพบำบัดกำลังรักษาผู้ป่วย หรือภาพคนกำลังออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
Call to action ที่ชัดเจน เช่น
"คลิกเพื่อทำนัด", "โทรสอบถาม", "ดูโปรโมชั่น"
ข้อมูลที่สำคัญ: ชื่อคลินิก, สถานที่ตั้ง, เบอร์โทรศัพท์, เว็บไซต์
ตัวอย่างแคมเปญ Google Ads
ประเภทแคมเปญ: Search
คีย์เวิร์ด: กายภาพบำบัด, บรรเทาปวดหลัง, ฟื้นฟูร่างกาย, คลินิกกายภาพบำบัด [ชื่อเมือง]
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ที่ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับกายภาพบำบัด
โฆษณา:
หัวข้อ: บรรเทาอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง ด้วยกายภาพบำบัดมืออาชีพ
ลิงก์แสดงผล: [ชื่อคลินิก] - ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด
คำอธิบาย: ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง ปราศจากอาการปวดเมื่อย นัดหมายวันนี้!
หน้า Landing Page: หน้าบริการกายภาพบำบัดในเว็บไซต์
ตัวอย่างแคมเปญ Facebook Ads
ประเภทแคมเปญ: Traffic
กลุ่มเป้าหมาย: กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามความสนใจ เช่น สุขภาพ, การออกกำลังกาย, ผู้สูงอายุ
โฆษณา:
ภาพ: ภาพนักกายภาพบำบัดกำลังรักษาผู้ป่วย หรือภาพคนกำลังออกกำลังกาย
ข้อความ: บอกลาอาการปวดเมื่อย! ด้วยการดูแลจากนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ
Call to action: คลิกเพื่อทำนัด
หน้า Landing Page: หน้าโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่
เกณฑ์ตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ
Google Ads:
CTR (Click-Through Rate): อัตราการคลิก ควรอยู่ที่ 2% ขึ้นไป
Conversion Rate: อัตราการแปลง (เช่น การโทรเข้า, การกรอกแบบฟอร์ม) ควรอยู่ที่ 2-5% ขึ้นไป
Cost Per Acquisition (CPA): ต้นทุนต่อการได้ลูกค้ารายใหม่ ควรกำหนดเป้าหมาย CPA ที่เหมาะสมกับงบประมาณ
Facebook Ads:
Reach: จำนวนคนที่เห็นโฆษณา
Impressions: จำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
CTR: อัตราการคลิก
Conversions: จำนวนการดำเนินการที่ต้องการ (เช่น คลิกที่เว็บไซต์, โทร, ส่งข้อความ)
เคล็ดลับเพิ่มเติม
A/B Testing: ทดลองใช้โฆษณาหลายๆ เวอร์ชันเพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด
Remarketing: โฆษณาไปยังผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์แล้ว
Pixel Tracking: ติดตั้ง Pixel เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์
วิเคราะห์ข้อมูล: ตรวจสอบข้อมูลการวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
หมายเหตุ
ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น คุณภาพของเว็บไซต์, เนื้อหาของโฆษณา, และการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
คำแนะนำ
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์เพื่อวางแผนและดำเนินการแคมเปญโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ขั้นตอนการศึกษา การใช้เครื่องมือ เพื่อหาผลการสืบค้น Keywordแนวทางศึกษา ผลการค้นหา จาก Search Engine
ปัจจัยหลักในผลการค้นหาของคุณ อัลกอริทึมของ Search พิจารณาปัจจัยและสัญญาณหลายอย่างเพื่อแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคุณมากที่สุด ซึ่งรวมถึงข้อความในการค้นหาของคุณ ความเกี่ยวข้องและความสามารถในการใช้งานของหน้าเว็บ ความเชี่ยวชาญของแหล่งข้อมูล ตลอดจนตำแหน่งที่คุณอยู่ และการตั้งค่าของคุณ ลำดับความสำคัญของปัจจัยแต่ละรายการนั้นจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับลักษณะของคำค้นหา เช่น ความใหม่ของเนื้อหาจะมีบทบาทสำคัญมากกว่าในการตอบการค้นหาเกี่ยวกับหัวข้อข่าวสารปัจจุบัน เมื่อเทียบกับคำค้นหาเกี่ยวกับคำนิยามศัพท์
เรียนรู้เกี่ยวกับปัจจัยหลักที่ช่วยกำหนดผลการค้นหา
เริ่มจากการระบุสิ่งที่คุณกำลังค้นหา กล่าวคือระบุเจตนาที่อยู่เบื้องหลังการค้นหา วิธีการคือ เราจะสร้างแบบจำลองภาษาต่างๆ เพื่อพยายามถอดรหัสว่าคำเพียงไม่กี่คำที่คุณป้อนลงในช่องค้นหาจะตรงกับเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ที่สุดได้อย่างไร
ระบบจะเข้าใจว่าคำที่ใช้และเจตนามีความเกี่ยวข้องกัน แล้วจึงเชื่อมโยงคุณกับเนื้อหาที่เหมาะสมได้ ระบบนี้ใช้เวลาในการพัฒนานานถึง 5 ปี
หากคุณค้นหาคีย์เวิร์ดที่มาแรง ระบบจะเข้าใจว่าข้อมูลล่าสุดน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าหน้าเว็บเก่าๆ หมายความว่า หากคุณค้นหาผลคะแนนกีฬา รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายของบริษัท หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่ใหม่เป็นพิเศษ คุณจะได้รับข้อมูลล่าสุด
เสริมประสิทธิภาพเนื้อหาด้วยการจัดดัชนี ปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ด้วย Structured Data (เนื้อหานี้เหมาะกับ Web Programing)
การเพิ่ม Structured Data ประเภท Article จะช่วยให้บทความของคุณโดดเด่นในผลการค้นหา และเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาอ่านบทความของคุณ
Structured Data หรือ ข้อมูลที่มีโครงสร้าง คือ การจัดรูปแบบข้อมูลบนเว็บไซต์ให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยการใช้โค้ดที่ระบุประเภทของข้อมูล เช่น สินค้า บทความ เหตุการณ์ เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจมากขึ้น
เหตุผลที่ Structured Data สำคัญต่อเว็บไซต์
เพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Rich Snippets
Rich Snippets คือ ผลการค้นหาที่แสดงข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ราคา รีวิว ดาว หรือคะแนน ซึ่งดึงดูดสายตาผู้ใช้มากกว่าผลการค้นหาปกติ ทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นและมีโอกาสได้รับคลิกมากขึ้น
ตัวอย่าง: หากคุณมีเว็บไซต์ขายสินค้า การเพิ่ม Structured Data ประเภท Product จะทำให้ผลการค้นหาของคุณแสดงราคา ดาว และรูปภาพสินค้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
เมื่อเครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ก็จะสามารถจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ถูกต้องมากขึ้น ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสติดอันดับค้นหาที่ดีขึ้น
ตัวอย่าง: หากคุณมีบทความเกี่ยวกับสูตรอาหาร การเพิ่ม Structured Data ประเภท Recipe จะทำให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหานั้นเป็นสูตรอาหาร และสามารถแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสูตรอาหารได้
เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
Structured Data ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณดูเป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจในรายละเอียดและต้องการให้ผู้ใช้เข้าใจข้อมูลของคุณได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่าง: หากคุณมีเว็บไซต์รีวิวสินค้า การเพิ่ม Structured Data ประเภท Review จะแสดงให้เห็นว่ารีวิวของคุณมีความน่าเชื่อถือและเป็นกลาง
เพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้:
Structured Data ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ใช้มีความพึงพอใจและกลับมาใช้บริการเว็บไซต์ของคุณอีกครั้ง
ตัวอย่าง: หากผู้ใช้กำลังค้นหาร้านอาหารใกล้เคียง การแสดงผลการค้นหาที่มี Structured Data เช่น ชื่อร้าน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และเวลาทำการ จะช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ประเภทของ Structured Data ที่นิยมใช้
Product: สำหรับสินค้า
Recipe: สำหรับสูตรอาหาร
Event: สำหรับกิจกรรม
LocalBusiness: สำหรับธุรกิจท้องถิ่น
Organization: สำหรับองค์กร
Person: สำหรับบุคคล
Article: สำหรับบทความ
วิธีการเพิ่ม Structured Data
ใช้เครื่องมือ: มีเครื่องมือต่างๆ เช่น Google Structured Data Testing Tool ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของ Structured Data ที่คุณเพิ่มลงไปในเว็บไซต์
ฝังโค้ด: เพิ่มโค้ด Structured Data ลงใน HTML ของหน้าเว็บไซต์
ใช้ plugin: สำหรับผู้ที่ใช้ WordPress สามารถใช้ plugin ต่างๆ เช่น Yoast SEO เพื่อช่วยในการเพิ่ม Structured Data ได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนการเพิ่ม Structured Data ประเภท Article
บนหน้าเว็บไซต์ SEO
เลือกรูปแบบ Structured Data:
JSON-LD: เป็นรูปแบบที่ Google แนะนำและใช้งานง่ายที่สุด โดยจะใส่โค้ด JSON-LD ไว้ในส่วน
Microdata: ฝังโค้ดไว้ใน HTML ของเนื้อหาที่ต้องการ
RDFa: ใช้ attribute เพิ่มเติมเข้าไปใน HTML
กำหนด Properties ที่สำคัญ:
headline: หัวข้อบทความ
datePublished: วันที่เผยแพร่
image: รูปภาพประกอบ
author: ผู้เขียน
description: คำอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับบทความ
articleBody: เนื้อหาบทความ
สร้างโค้ด Structured Data ตัวอย่างโค้ด JSON-LD สำหรับบทความ Article
คำแนะนำเพิ่มเติม
Google Structured Data Testing Tool: ใช้เครื่องมือนี้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของโค้ดที่คุณสร้างขึ้น
Rich Results Test: ตรวจสอบว่า Structured Data ของคุณสามารถแสดงผลใน Rich Results ได้หรือไม่
วางโค้ดในหน้าเว็บ วางโค้ดที่สร้างขึ้นไว้ในส่วน Head ของหน้าเว็บทุกหน้าที่มีบทความ
สรุป Structured Data เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความโดดเด่นในผลการค้นหา และเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ ทำให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
แหล่งเรียนรู้เทคโนโลยีการตลาดดิจิทัลจาก Googleแหล่งเรียนรู้เทคโนโลยีการตลาดดิจิทัลจาก Google
Google เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และมีเครื่องมือและแพลตฟอร์มมากมายที่สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับการตลาดดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ ดังนี้
Google Skillshop เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมหลักสูตรการตลาดดิจิทัลจาก Google หลากหลายสาขา ทั้ง Google Ads , Google Analytics, YouTube และอื่นๆ หลักสูตรส่วนใหญ่เป็นแบบฟรี และมีการอัปเดตเนื้อหาอยู่เสมอ
Google Digital Garage : เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานของการตลาดดิจิทัล มีหลักสูตรสั้นๆ ที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
Google Analytics Academy: เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ Google Analytics อย่างมืออาชีพ มีทั้งหลักสูตรพื้นฐานและขั้นสูง
YouTube Creator Academy: หากคุณสนใจการทำคอนเทนต์บน YouTube แพลตฟอร์มนี้มีหลักสูตรที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของการสร้างช่อง YouTube ที่ประสบความสำเร็จ
แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม
Coursera : มีหลักสูตรการตลาดดิจิทัลจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก หลักสูตรส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่าย แต่มีบางหลักสูตรที่เรียนฟรี
Udemy : มีหลักสูตรการตลาดดิจิทัลให้เลือกเรียนมากมาย หลักสูตรส่วนใหญ่มีราคาไม่แพง และมีการอัปเดตเนื้อหาอยู่เสมอ
LinkedIn Learning : มีหลักสูตรการตลาดดิจิทัลที่สอนโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย: จัดอบรมหลักสูตรการตลาดดิจิทัลให้กับสมาชิก และมีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตลาดดิจิทัล
เว็บไซต์และบล็อก: มีเว็บไซต์และบล็อกเกี่ยวกับการตลาดดิจิทัลมากมายที่ให้ข้อมูลข่าวสารและบทความที่น่าสนใจ เช่น MarketingScoop, MarketingOops, Marketing Today เป็นต้น
การออกแบบกราฟิกแนะนำแหล่งเรียนรู้สำหรับมือใหม่
แนวคิด: สร้างอินโฟกราฟิกที่แสดงให้เห็นภาพรวมของแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย โดยใช้สีสันที่สดใสและไอคอนที่น่าสนใจ
องค์ประกอบ
หัวข้อ: "เส้นทางสู่ความสำเร็จในโลกการตลาดดิจิทัล เริ่มต้นที่นี่!"
ภาพรวม: แสดงภาพรวมของแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในรูปแบบของแผนที่ หรือเส้นทางที่นำไปสู่เป้าหมาย
ไอคอน: ใช้ไอคอนที่สื่อถึงแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น ไอคอนของ Google สำหรับ Google Skillshop, ไอคอนของหนังสือสำหรับ Coursera
ข้อความ: สรุปข้อดีของแต่ละแพลตฟอร์มสั้นๆ และชัดเจน
Call to action: เชิญชวนให้ผู้ชมคลิกเข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติม
ตัวอย่างไอเดีย
แผนที่: สร้างแผนที่ที่มีจุดหมายปลายทางคือ "ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล" และมีเส้นทางต่างๆ ที่นำไปสู่จุดหมาย โดยแต่ละเส้นทางจะแสดงถึงแหล่งเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
บันได: สร้างบันไดที่แต่ละขั้นเป็นระดับความยากง่ายของหลักสูตร โดยขั้นแรกจะเป็นหลักสูตรพื้นฐาน และขั้นสุดท้ายจะเป็นหลักสูตรขั้นสูง
ต้นไม้: สร้างต้นไม้แห่งความรู้ โดยแต่ละกิ่งก้านจะแสดงถึงสาขาของการตลาดดิจิทัลที่แตกต่างกัน
เครื่องมือออกแบบกราฟิก
Canva: เครื่องมือออกแบบกราฟิกออนไลน์ที่ใช้งานง่าย มีเทมเพลตให้เลือกมากมาย
Adobe: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออกแบบกราฟิกที่มีความละเอียดสูง
สรุป แผนการจัดทำสื่อดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีความชัดเจน มีระบบ และสามารถวัดผลได้ นอกจากนี้ ยังต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ช่องทางเรียนรู้เกี่ยวกับ โฆษณา Online เทคโนโลยีดิจิทัล Digital Technologyช่องทางเรียนรู้เกี่ยวกับ โฆษณา Online เทคโนโลยีดิจิทัล
Digital Marketing
เทคนิคการออกแบบระบบที่ช่วยในการจัดการเฉพาะด้าน ช่วยในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการ
ช่องทางเรียนรู้เกี่ยวกับ โฆษณา Online เทคโนโลยีดิจิทัล Digital Technology
ช่วยให้คุณออนไลน์และแสดงเนื้อหารายละเอียดต่อหน้าลูกค้าจํานวนมาก และเกิดผลลัพธ์ที่ดีตามวัตถุประสงค์