จัดทำองค์ประกอบ การตลาดออนไลน์ ด้วยความเข้าใจ

 Haeder Image

จัดทำองค์ประกอบ การตลาดออนไลน์ ด้วยความเข้าใจ

รูปแบบการเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติด้วยเทคโนโลยีอย่างมีขั้นตอนชัดเจน มุ่งเน้นความสำเร็จ ที่ตรวจสอบได้ ด้วยโครงสร้างการทำงานที่เป็นระบบ มีกลไก เงื่อนไขกระบวนการทดลองที่ชัดเจน


Digital Marketing เสริมประสิทธิภาพเพื่อเป้าหมาย ด้วยเทคนิคการตลาดออนไลน์

รูปแบบการเรียนรู้
องค์ประกอบการตลาดออนไลน์ด้วยความเข้าใจ เทคนิคการลงมือปฏิบัติ มีเนื้อหาดังนี้

  1. รู้และเข้าใจหลักการทำงาน การเข้าถึงผู้คน บนตลาดออนไลน์
  2. เข้าใจคุณสมบัติของแพลตฟอร์มที่มีมากมายในโลกออนไลน์และสามารถเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. เข้าใจหลักการทำงานและความสำคัญ สำหรับนำเสนอธุรกิจ และสนับสนุนการขายออนไลน์
  4. เข้าใจวิธีใช้งานเครื่องมือสร้างชิ้นงานที่ทำให้ธุรกิจของคุณ มีข้อได้เปรียบในโลกออนไลน์
  5. เข้าใจวิธีการวิเคราะห์ ประเมินคุณภาพการสร้างแคมเปญในแต่ละวัตถุประสงค์
  6. เข้าใจวิธีการตีความ สรุปผลข้อมูลจากสถิติ เพื่อนำมาปรับปรุงชิ้นงานหรือตั้งค่าโฆษณาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า
  7. เข้าใจบริบท ของสถานการณ์และพร้อมปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีด้วยแบบแผนที่เป็นไปได้
  8. อย่าหยุดเรียนรู้และค้นหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงธุรกิจอยู่เสมอ

 

1. รู้และเข้าใจหลักการทำงาน การเข้าถึงผู้คน บนตลาดออนไลน์

องค์ประกอบการตลาดออนไลน์ก็เหมือนกับส่วนประกอบต่างๆ ที่นำมารวมกันเพื่อสร้างบ้านหลังใหญ่ นั่นคือการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่งบนโลกออนไลน์ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายปัจจัย เช่น

  • การวางแผน กำหนดเป้าหมาย, กลุ่มเป้าหมาย, และงบประมาณ
  • การสร้างแบรนด์ สร้างภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับแบรนด์
  • การสร้างคอนเทนต์ สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย
  • ช่องทางการตลาด เลือกช่องทางที่เหมาะสม เช่น Social Media, Website SEO, Websites  e-Commerce

 

2. เข้าใจคุณสมบัติของแพลตฟอร์มที่มีมากมายในโลกออนไลน์และสามารถเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเลือกช่องทางการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายและกลุ่มลูกค้าของแต่ละธุรกิจ การทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละช่องทางจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และเมื่อนำช่องทางต่างๆ มาใช้งานร่วมกัน ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดได้มากยิ่งขึ้น

1. เว็บไซต์ (Website)

ข้อดี

  • เป็นหน้าร้านออนไลน์หลักของธุรกิจ
  • ควบคุมเนื้อหาได้ทั้งหมด
  • สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ
  • สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

ข้อเสีย

  • ต้องใช้เวลาและงบประมาณในการสร้างและบำรุงรักษา
  • การดึงดูดผู้เข้าชมใหม่ค่อนข้างยากหากไม่มีการทำการตลาดอื่นๆ ร่วมด้วย

2. Facebook

ข้อดี

  • มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก
  • สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้ง่าย
  • มีเครื่องมือโฆษณาที่หลากหลาย
  • สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเจาะจง

ข้อเสีย

  • อัลกอริทึมของ Facebook เปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้การเข้าถึงลูกค้ายากขึ้น
  • การแข่งขันสูง

3. TikTok

ข้อดี

  • เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรง มีผู้ใช้งานกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่จำนวนมาก
  • เนื้อหาเป็นวิดีโอสั้นๆ น่าสนใจ
  • สามารถสร้างไวรัลได้ง่าย

ข้อเสีย

  • เหมาะกับสินค้าหรือบริการบางประเภท
  • การวัดผลอาจทำได้ยากกว่าช่องทางอื่นๆ

4. Lazada

ข้อดี

  • เป็นแพลตฟอร์ม E-commerce ขนาดใหญ่ มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
  • มีระบบการชำระเงินและการจัดส่งที่สะดวก
  • สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

ข้อเสีย

  • การแข่งขันสูงมาก
  • ค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง

 

ตัวอย่างการใช้งานร่วมกัน

  • ร้านค้าเสื้อผ้า
    สร้างเว็บไซต์เป็นหน้าร้านหลัก ใช้ Facebook ในการสร้างแบรนด์และโปรโมตสินค้าใหม่ๆ ใช้ TikTok สร้างคลิปวิดีโอสั้นๆ แสดงแฟชั่น และใช้ Lazada สำหรับขายสินค้า
  • ธุรกิจอาหาร
    สร้างเว็บไซต์เพื่อนำเสนอเมนูและข้อมูลร้านค้า ใช้ Facebook ในการสร้างโปรโมชั่นและรับออร์เดอร์ ใช้ Instagram แสดงภาพอาหารที่น่ารับประทาน และใช้ LINE OA ในการตอบคำถามลูกค้า
  • ธุรกิจบริการ
    สร้างเว็บไซต์เพื่อให้ข้อมูลบริการ ใช้ LinkedIn ในการสร้างเครือข่ายกับธุรกิจอื่นๆ ใช้ Facebook และ Instagram ในการโปรโมตกิจกรรมต่างๆ

 

ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์

  • กลุ่มเป้าหมาย ช่องทางใดที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้งานมากที่สุด
  • งบประมาณ มีงบประมาณเท่าไหร่ในการทำการตลาด
  • ทรัพยากร มีบุคลากรที่สามารถดูแลช่องทางต่างๆ ได้เพียงพอหรือไม่
  • เป้าหมายทางธุรกิจ ต้องการบรรลุเป้าหมายอะไร เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างแบรนด์ หรือสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า

 

คำแนะนำเพิ่มเติม การทำการตลาดออนไลน์ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้เพียงช่องทางเดียว การนำช่องทางต่างๆ มาผสมผสานกันจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น และสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ช่องทางเดียว

 

3. เข้าใจหลักการทำงานและความสำคัญ สำหรับนำเสนอธุรกิจ และสนับสนุนการขายออนไลน์

เว็บไซต์ (Website)

เว็บไซต์เปรียบเสมือนหน้าร้านบนโลกออนไลน์ เป็นพื้นที่ที่คุณสามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการของคุณได้อย่างครอบคลุม มีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั่วโลก

หลักการทำงาน

  • โดเมน ชื่อที่ใช้ในการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ เช่น https://banrukcom.net 
  • โฮสติ้ง พื้นที่เก็บข้อมูลของเว็บไซต์ของคุณบนเซิร์ฟเวอร์
  • เนื้อหา ข้อมูลต่างๆ ที่คุณต้องการนำเสนอบนเว็บไซต์ เช่น ข้อมูลสินค้า บริการ เกี่ยวกับเรา ติดต่อ
  • การออกแบบ รูปลักษณ์และโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ดึงดูดลูกค้า
  • SEO การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนหน้าผลการค้นหาของ Google เพื่อให้ลูกค้าค้นหาคุณเจอ

ความสำคัญของเว็บไซต์

  • สร้างความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเป็นมืออาชีพของธุรกิจ
  • ควบคุมเนื้อหาได้เอง คุณสามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา
  • เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ลูกค้าสามารถเข้าชมและซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา
  • เพิ่มช่องทางการขาย เป็นช่องทางการขายเพิ่มเติมนอกเหนือจากร้านค้าจริง
  • รวบรวมข้อมูลลูกค้า สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าเพื่อนำไปปรับปรุงธุรกิจ

 

เฟซบุ๊ก (Facebook)

เฟซบุ๊กเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นช่องทางที่คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง

หลักการทำงาน

ความสำคัญของเฟซบุ๊ก

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเจาะจง
  • สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านการตอบข้อความและการมีส่วนร่วม
  • โปรโมตสินค้าและบริการได้รวดเร็ว สามารถเผยแพร่ข้อมูลไปยังลูกค้าได้ทันที
  • วิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

 

การใช้เว็บไซต์และเฟซบุ๊กร่วมกัน

การใช้เว็บไซต์และเฟซบุ๊กร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดออนไลน์ของคุณได้มากยิ่งขึ้น เช่น

  • นำลิงก์เว็บไซต์ไปใส่ในเพจเฟซบุ๊ก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้
  • ใช้เฟซบุ๊กในการโปรโมตเว็บไซต์ เช่น โปรโมตบทความใหม่ๆ หรือโปรโมชั่นพิเศษ
  • สร้างแคมเปญโฆษณาบนเฟซบุ๊ก เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์

 

ตัวอย่างการใช้เว็บไซต์และเฟซบุ๊กร่วมกัน

  • ร้านอาหาร
    สร้างเว็บไซต์เพื่อนำเสนอเมนูและข้อมูลร้านค้า ใช้เฟซบุ๊กในการโปรโมตเมนูใหม่ๆ จัดกิจกรรมต่างๆ และรับออร์เดอร์

  • ร้านค้าออนไลน์
    สร้างเว็บไซต์เป็นหน้าร้านหลัก ใช้เฟซบุ๊กในการสร้างแบรนด์ สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และโปรโมตสินค้าใหม่ๆ

 

4. เข้าใจวิธีใช้งานเครื่องมือสร้างชิ้นงานที่ทำให้ธุรกิจของคุณ มีข้อได้เปรียบในโลกออนไลน์

แผนการจัดทำสื่อดิจิทัลที่ครอบคลุมควรประกอบด้วยองค์ประกอบหลักดังนี้

1. การวางแผนที่ชัดเจน

  • กำหนดเป้าหมาย ต้องการสื่อสารอะไรไปยังกลุ่มเป้าหมายใด
  • วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
  • เลือกช่องทางสื่อสารที่เหมาะสม เช่น Social Media, Website, Email
  • สร้างสรรค์เนื้อหาที่น่าสนใจและตรงใจกลุ่มเป้าหมายกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ
  • Flowchart สร้างแผนผังงานแสดงลำดับขั้นตอนการทำงานแต่ละขั้นตอน
  • กำหนดบทบาท กำหนดความรับผิดชอบของแต่ละคนในทีม
  • กำหนดระยะเวลา กำหนดกรอบเวลาในการทำงานแต่ละขั้นตอน
  • มีการตรวจสอบคุณภาพ ตรวจสอบความถูกต้องและความสอดคล้องของงานก่อนเผยแพร่

2. การวัดผลและปรับปรุง

  • กำหนดตัวชี้วัดที่สำคัญ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, อัตราการคลิก, การมีส่วนร่วม
  • วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวัดประสิทธิภาพของแคมเปญ
  • ปรับปรุงกลยุทธ์ตามผลลัพธ์ที่ได้

3. ความยืดหยุ่นและการเรียนรู้

  • เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง มีแผนสำรองและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
  • เรียนรู้จากข้อมูล นำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาปรับปรุงการทำงานในครั้งต่อไป

 

ตัวอย่าง Flowchart ง่ายๆ สำหรับการกำหนดกลยุทธ์และจัดทำสื่อดิจิทัล เพื่อสร้างความสำเร็จการโฆษณา

คำอธิบายเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Live สด ในวันเสาร์ ที่ 10 สิงหาคม 2567 เวลา 15.00 น.

 

5. เข้าใจวิธีการวิเคราะห์ ประเมินคุณภาพการสร้างแคมเปญในแต่ละวัตถุประสงค์

การวิเคราะห์ประเมินคุณภาพแคมเปญโฆษณาเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ทำการตลาดสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างต่อเนื่อง ทั้ง Meta Facebook และ Google Ads ต่างมีเครื่องมือและเมตริกที่หลากหลายไว้ให้สำหรับการวิเคราะห์ แต่ก็มีความแตกต่างกันในบางจุด

วิเคราะห์ประเมิน คุณภาพ แคมเปญ โฆษณา เป็นขั้นตอนสำคัญ

Meta Facebook (เดิมคือ Facebook Ads Manager)

  • เครื่องมือวิเคราะห์ Meta Ads Manager มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครอบคลุม สามารถดูข้อมูลเชิงลึกของแคมเปญได้หลากหลายมิติ เช่น จำนวนการเข้าถึง อัตราการคลิกผ่าน (CTR) อัตราการแปลง ต้นทุนต่อผลลัพธ์ (CPA) และอื่นๆ
  • เมตริกสำคัญ
    • Reach จำนวนคนที่เห็นโฆษณา
    • Impressions จำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
    • Clicks จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณา
    • Conversions จำนวนการดำเนินการที่ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครรับข่าวสาร
    • Cost Per Conversion ต้นทุนเฉลี่ยต่อการเกิด Conversion หนึ่งครั้ง
  • การวิเคราะห์
    • Audience Insights วิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
    • A/B Testing ทดสอบโฆษณาหลายๆ เวอร์ชันเพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด
    • Funnel Analysis วิเคราะห์ขั้นตอนต่างๆ ที่ผู้ใช้ทำตั้งแต่เห็นโฆษณาจนถึงการทำ Conversion
  • จุดเด่น
    • มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและใช้งานง่าย
    • สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด
    • มีฟีเจอร์ A/B Testing ที่ช่วยให้ปรับปรุงโฆษณาได้อย่างรวดเร็ว

 

Google Ads

  • เครื่องมือวิเคราะห์ Google Ads มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลัง สามารถดูข้อมูลเชิงลึกของแคมเปญได้หลากหลายมิติ เช่น อัตราการคลิกผ่าน (CTR) อัตราการแปลง ค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) และอื่นๆ
  • เมตริกสำคัญ
    • Clicks จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณา
    • Impressions จำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
    • Click-through Rate (CTR) อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
    • Conversion Rate อัตราส่วนระหว่างจำนวน Conversion กับจำนวนคลิก
    • Cost Per Click (CPC) ต้นทุนเฉลี่ยต่อคลิกหนึ่งครั้ง
  • การวิเคราะห์
    • Keyword Planner วางแผนคำหลักสำหรับการทำโฆษณา
    • Audience Insights วิเคราะห์พฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้
    • Conversion Tracking ติดตามการแปลงที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์
  • จุดเด่น

 

สรุปความแตกต่าง

คุณสมบัติ Meta Facebook Google Ads
จุดเด่น เน้นการสร้างแบรนด์และสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เน้นการดึงดูดลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูล
กลุ่มเป้าหมาย กว้างขวาง สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียด เจาะจงไปยังผู้ที่กำลังค้นหาสินค้าหรือบริการ
เครื่องมือวิเคราะห์ ครอบคลุมและใช้งานง่าย ทรงพลังและเน้นการวัดผลที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา
เมตริกสำคัญ Reach, Impressions, Conversions, Cost Per Conversion Clicks, CTR, Conversion Rate, CPC

 

การเลือกใช้เครื่องมือใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแคมเปญ

  • หากต้องการสร้างแบรนด์และเพิ่มการรับรู้ Meta Facebook เป็นตัวเลือกที่ดี
  • หากต้องการเพิ่มยอดขายและดึงดูดลูกค้าใหม่ Google Ads เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
  • หากต้องการทำทั้งสองอย่าง สามารถใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกัน

เคล็ดลับในการวิเคราะห์แคมเปญ [1]

  • กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ก่อนเริ่มแคมเปญ ควรกำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้ชัดเจน เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างแบรนด์ หรือเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม
  • เลือกเมตริกที่สำคัญ เลือกเมตริกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญ
  • วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ทดลองและปรับปรุง อย่ากลัวที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ และปรับปรุงแคมเปญอยู่เสมอ

 

คำแนะนำเพิ่มเติม

Meta Facebook และ Google Ads ต่างมีเครื่องมือและฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้ทำการตลาดสามารถวิเคราะห์ประเมินผลแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้เครื่องมือใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และงบประมาณของแต่ละธุรกิจ

 

6. เข้าใจวิธีการตีความ ผลสรุปข้อมูลจากสถิติเมทริกต์ เพื่อนำมาปรับปรุงชิ้นงานหรือตั้งค่าโฆษณาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า

การทำความเข้าใจข้อมูลสถิติจากแพลตฟอร์มโฆษณาอย่าง Meta Facebook และ Google Ads เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาให้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ การสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือการเพิ่มยอดขาย

เมตริกส์ที่สำคัญและวิธีตีความ

ทั้ง Meta Facebook และ Google Ads มีเมตริกส์ที่สำคัญในการวัดผลลัพธ์ของแคมเปญที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป

Meta Facebook

  • Reach จำนวนคนที่เห็นโฆษณาของคุณ
  • Impressions จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกแสดง
  • Clicks จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาของคุณ
  • CTR (Click-Through Rate) อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
  • Conversions จำนวนการดำเนินการที่ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครรับข่าวสาร
  • Cost Per Conversion ต้นทุนเฉลี่ยต่อการเกิด Conversion หนึ่งครั้ง

การตีความ

  • CTR ต่ำ อาจเกิดจากข้อความโฆษณาไม่น่าสนใจ ภาพไม่ดึงดูด หรือกลุ่มเป้าหมายไม่ตรง
  • Conversion ต่ำ หน้า Landing Page อาจไม่ดึงดูด หรือขั้นตอนการซื้อสินค้าซับซ้อนเกินไป
  • CPA สูง ต้นทุนในการได้ลูกค้าหนึ่งรายสูงเกินไป อาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำโฆษณา

Google Ads

  • Clicks: จำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาของคุณ
  • Impressions: จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกแสดง
  • CTR: อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
  • Conversion Rate: อัตราส่วนระหว่างจำนวน Conversion กับจำนวนคลิก
  • Cost Per Click (CPC): ต้นทุนเฉลี่ยต่อคลิกหนึ่งครั้ง

การตีความ

  • CTR ต่ำ คีย์เวิร์ดที่เลือกอาจไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ หรือข้อความโฆษณาไม่น่าสนใจ
  • Conversion Rate ต่ำ หน้า Landing Page อาจไม่ตรงกับเนื้อหาของโฆษณา หรือขั้นตอนการซื้อสินค้าซับซ้อนเกินไป
  • CPC สูง คำหลักที่ใช้ในการประมูลมีการแข่งขันสูง หรือคุณภาพของโฆษณาและหน้า Landing Page ยังไม่ดีพอ

 

สรุปความแตกต่างและการนำไปปรับใช้

คุณสมบัติ Meta Facebook Google Ads
จุดเด่น เน้นการสร้างแบรนด์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้าง เน้นการดึงดูดลูกค้าที่กำลังค้นหา
เมตริกสำคัญ Reach, Impressions, Conversions Clicks, CTR, Conversion Rate, CPC
การปรับปรุง ปรับเปลี่ยนภาพ, ข้อความ, กลุ่มเป้าหมาย ปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ด, ข้อความโฆษณา, หน้า Landing Page

 

วิธีการปรับปรุงแคมเปญ

  • วิเคราะห์ข้อมูล ศึกษาข้อมูลเมตริกส์อย่างละเอียด เพื่อหาจุดแข็งจุดอ่อนของแคมเปญ
  • ตั้งสมมติฐาน กำหนดสาเหตุที่ทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้น
  • ทดลอง เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ในแคมเปญ เช่น ภาพ, ข้อความ, กลุ่มเป้าหมาย, คีย์เวิร์ด
  • วัดผล ตรวจสอบผลลัพธ์หลังจากการเปลี่ยนแปลง
  • ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนแคมเปญให้ดีขึ้นตามผลลัพธ์ที่ได้

ตัวอย่างการปรับปรุง

  • หาก CTR ต่ำ เปลี่ยนภาพให้ดึงดูดมากขึ้น, ปรับข้อความให้สั้นกระชับและชัดเจน, เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย
  • หาก Conversion Rate ต่ำ ปรับปรุงหน้า Landing Page ให้ดูดีขึ้น, ทำให้ขั้นตอนการซื้อสินค้าง่ายขึ้น, เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
  • หาก CPA สูง ลดราคาสินค้า, เพิ่มโปรโมชั่น, เปลี่ยนกลยุทธ์การประมูล

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ นอกจากเครื่องมือวิเคราะห์ภายในแพลตฟอร์มแล้ว ยังมีเครื่องมืออื่นๆ เช่น Google Analytics ที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  • ทดสอบ A/B Testing ทดลองใช้โฆษณาหลายๆ เวอร์ชัน เพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด
  • ติดตามคู่แข่ง ศึกษาแคมเปญของคู่แข่งเพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

การทำความเข้าใจเมตริกส์ต่างๆ และนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

7. เข้าใจบริบทของสถานการณ์และพร้อมปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีด้วยแบบแผนที่เป็นไปได้

การทำความเข้าใจบริบทของสถานการณ์และปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใน Meta Facebook และ Google Ads เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ

เมื่อเข้าใจบริบทของสถานการณ์แล้ว เราสามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใน Meta Facebook และ Google Ads ค่าประมาณหรือเกณฑ์ชี้วัด

เกณฑ์ชี้วัดบนตัวจัดการโฆษณา เทคโนโลยีใน Meta Facebook

 

การเข้าใจบริบทของสถานการณ์

  • เป้าหมายทางธุรกิจ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างแบรนด์ เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม
  • กลุ่มเป้าหมาย เข้าใจพฤติกรรม ความสนใจ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
  • งบประมาณ กำหนดงบประมาณที่เหมาะสมกับแคมเปญ
  • คู่แข่ง ศึกษาคู่แข่งและกลยุทธ์การทำการตลาดของคู่แข่ง
  • เทรนด์ ติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในวงการการตลาดดิจิทัล

 

การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี

การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีคืออะไร ? ........... ก็เหมือนกับการเรียนรู้การขับรถใหม่ๆ ค่ะ แรกๆ อาจจะงงๆ แต่เมื่อเราฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะเชี่ยวชาญเองค่ะ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการขายออนไลน์ก็เช่นกัน อาจจะดูซับซ้อนในตอนแรก แต่เมื่อเราเริ่มเรียนรู้และฝึกฝน ก็จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ค่ะ

 

เมื่อเข้าใจบริบทของสถานการณ์แล้ว เราสามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใน Meta Facebook และ Google Ads ได้ดังนี้

 การศึกษาและใช้งานเครื่องมือ แนวทางการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญ

การศึกษาและใช้งานเครื่องมือ แนวทางการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญ

 

ปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย

  • Facebook ใช้เครื่องมือ Audience Insights เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย และสร้างกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงมากขึ้น
  • Google Ads ใช้ Keyword Planner เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย และสร้างกลุ่มโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้

ปรับเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณา

  • สร้างความหลากหลาย สร้างโฆษณาหลายรูปแบบ ทั้งภาพ วิดีโอ และข้อความ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้
  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่สื่อสารได้ง่ายและตรงไปตรงมา
  • เน้นประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ บอกให้ผู้บริโภคทราบว่าสินค้าหรือบริการของคุณจะช่วยแก้ปัญหาอะไรให้พวกเขาได้

ปรับเปลี่ยนหน้า Landing Page

  • ออกแบบให้ตรงกับโฆษณา หน้า Landing Page ควรสอดคล้องกับเนื้อหาของโฆษณา
  • ลดขั้นตอนการซื้อ ทำให้ขั้นตอนการซื้อสินค้าหรือบริการง่ายขึ้น
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ แสดงรีวิวจากลูกค้า หรือใบรับรองต่างๆ

ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การประมูล

  • Google Ads เลือกกลยุทธ์การประมูลที่เหมาะสมกับเป้าหมาย เช่น Maximize Clicks, Target CPA
  • Facebook เลือกกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพที่เหมาะสม เช่น Reach and Frequency, Conversions

ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ

  • ใช้ AI ในการสร้างโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้
  • Machine Learning ใช้ Machine Learning เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโดยอัตโนมัติ
  • Automation ใช้ Automation เพื่อลดงานที่ต้องทำซ้ำๆ

ตัวอย่างการปรับเปลี่ยน

  • หาก CTR ต่ำ ปรับเปลี่ยนภาพ, ข้อความ, และกลุ่มเป้าหมาย
  • หาก Conversion Rate ต่ำ ปรับปรุงหน้า Landing Page, ลดขั้นตอนการซื้อ
  • หาก CPA สูง ลดราคาสินค้า, เพิ่มโปรโมชั่น, เปลี่ยนกลยุทธ์การประมูล

แบบแผนที่เป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยน

  • ทดลอง A/B Testing ทดลองใช้โฆษณาหลายๆ เวอร์ชันเพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด
  • วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบข้อมูลเมตริกส์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • ติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในวงการการตลาดดิจิทัล เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจ

คำแนะนำเพิ่มเติม

1) การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใน Meta Facebook และ Google Ads ต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและการทดลองอย่างต่อเนื่อง

2) การเข้าใจบริบทของสถานการณ์และการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

8. อย่าหยุดเรียนรู้และค้นหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงธุรกิจอยู่เสมอ

  • แหล่งเรียนรู้เทคโนโลยีการตลาดดิจิทัลจาก Google เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และมีเครื่องมือและแพลตฟอร์มมากมายที่สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับการตลาดดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังมีแหล่งเรียนรู้อื่นๆ อีกมากมายที่เปิดสอนหลักสูตรและเนื้อหาที่หลากหลาย 
  • Click เปิดอ่านเนื้อหาต่อไปนี้





บทความ การตลาดโซเชียลมีเดีย เพื่อพลักดันธุรกิจ

รูปแบบการเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติด้วยเทคโนโลยีอย่างมีขั้นตอนชัดเจน มุ่งเน้นความสำเร็จ ที่ตรวจสอบได้ ด้วยโครงสร้างการทำงานที่เป็นระบบ มีกลไก เงื่อนไขกระบวนการทดลองที่ชัดเจน